ลูกสาวของผมอายุ 3 ขวบกว่าๆ ซึ่งใกล้เคียงกันกับเด็กๆ ที่เสียชีวิต เรานึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าเรื่องนี้เกิดกับลูกเรา เราจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร…?
Routine ตามปกติของชั้นเด็กเล็ก หรือ เนิร์สเซอรี่ พ่อแม่จะมาส่งลูกที่โรงเรียน เวลา 8.30 น. ที่โรงเรียนก็จะมีกิจกรรมให้เด็กๆ ทำด้วยกัน จากนั้นกินข้าวเสร็จ พอราวๆ 12.00 – 13.30 ครูจะให้เด็กนอนกลางวัน เด็กๆ ตื่นมา พ่อแม่จะมารับเวลา 14.30 น.
ตอนที่เกิดเหตุ เด็กๆ กำลังนอนอยู่ อีกไม่นานพวกเขาจะตื่นมาอย่างสดใส เพื่อรอพ่อแม่จะมารับ จากนั้นทั้งครอบครัวก็จะขับรถออกจากโรงเรียนไปกินขนมแล้วก็กลับบ้าน เป็นวันที่จะมีความสุขอีกหนึ่งวัน…
ใช่ มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่สุดท้าย มันไม่มีอะไรเหลือเลย…!
คนที่มีลูกย่อมทราบดีว่า เขาคือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของเรา พ่อแม่ยอมทุกอย่าง ตายแทนได้โดยไม่ลังเล ขอแค่ลูกมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ขนาดแค่เขาหกล้ม มีแผลนิดเดียว เรายังเสียใจ และโทษตัวเองว่าทำไมเราไม่สามารถปกป้องลูกได้ แต่นี่มันแรงกว่านั้น ….เขาจากโลกนี้ไปเลย
หลังจากที่ผมรู้สึกใจสลายเมื่อทราบข่าวแล้ว สิ่งที่รู้สึกในลำดับต่อมา คือ โกรธ โกรธที่ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับประเทศไทยได้
- โกรธที่ทุกครั้งที่มีเหตุกราดยิง มันต้องมีประวัติเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างทหาร หรือ ตำรวจ คนที่ควรปกป้องคนในประเทศ แต่กลับลงมือสังหารคนอื่นเสียเอง
ที่สหรัฐอเมริกา มีเหตุกราดยิงเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหน ที่มีคนตายมากกว่า 30 คนขึ้นไป แล้วมือสังหารเป็น ทหารหรือ ตำรวจ ไม่มีเลยสักครั้งเดียว
สงสัยการคัดกรองเลือกเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจ มีการตรวจสอบอะไรกันบ้างหรือไม่ ทำไมคนร้ายที่ดูดยาบ้าตั้งแต่มัธยม ถึงยังเข้ารับราชการตำรวจได้อีก ทำไมคนที่สร้างเรื่องมากมาย ทั้งข่มขู่ ทั้งเสพยาตอนเป็นตำรวจ ยังสามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่ายดายขนาดนั้น
ลองคิดดูว่า ถ้าหากคนก่อเหตุที่หนองบัวลำภู เป็นตำรวจได้นานขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เสพยามานานแล้ว แปลว่าตำรวจในปัจจุบันนี้ ก็อาจจะมีคนที่เสพยาอยู่เป็นประจำเหมือนกันใช่หรือเปล่า?
- โกรธที่ศักยภาพของตำรวจไทย ทำไมมันเชื่องช้าขนาดนี้ เหตุที่หนองบัวลำภู เริ่มต้นเวลา 12.10 น. แต่คนร้ายมีเวลาถึง 2 ชั่วโมงกว่า ก่อนจะกลับไปฆ่าตัวตายเวลา 14.50 น. ที่บ้านตัวเอง
ตอนคดีกราดยิง ที่โรงเรียนประถมแซนดี้ฮุค ที่สหรัฐอเมริกา ตำรวจได้รับแจ้งเหตุเวลา 9.35 น. ตำรวจไปถึงจุดเกิดเหตุ เวลา 9.39 น. ใช้เวลาแค่ 4 นาทีเท่านั้น พอตำรวจไปถึง ทำให้คนร้ายฆ่าตัวตายหนีความผิด ในเวลา 9.40 น. คือไปถึงเร็ว ก็ลดความสูญเสียได้มาก
แต่ที่ไทย ผิดหวังที่เราสามารถจัดการได้ดีที่สุดแค่นี้ ถ้าหากทุกอย่างเร็วกว่านี้ การสูญเสียก็คงไม่มากมายขนาดนั้น
- โกรธที่คนมีอำนาจในประเทศนี้แต่ละคน ตอบคำถามโง่ๆ ทั้งนั้น ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ไม่มีความเข้าใจสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น นักข่าวถาม พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีว่า รู้ไหมคนร้ายเป็นอดีตตำรวจ แต่ พล.อ.ประวิตร กลับตอบว่า “จะให้ทำยังไง ก็เขาติดยา” เป็นคำตอบที่น่าสมเพชเวทนาอย่างมาก พูดมาได้ยังไง ประเด็นที่คนเขาอยากรู้คือถ้าติดยา แล้วมาเป็นตำรวจได้ไงตั้งแต่แรก มาเข้าใกล้อาวุธปืน เข้าใกล้อำนาจรัฐขนาดนี้ได้ยังไง
และแทนที่ตำรวจจะโทษว่าเป็นความผิดตัวเอง และพิจารณาถึงความสามารถในการคัดกรองคนมาทำงาน แต่เอาแต่โทษสิ่งนี้สิ่งนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. บอกว่า คนร้ายอาจเลียนแบบจากหนังอเมริกา ที่ไปกราดยิงเด็กในรัฐชิคาโก้? คือคิดแบบนั้น จะโยนความผิดให้ ซีรีส์ ให้เกมกันง่ายๆ เหรอ..?
ถ้าหากการเลียนแบบเกิดขึ้นง่ายแบบนั้นจริง ทำไมคนเกาหลี คนญี่ปุ่น เขาดูซีรีส์แล้วไม่ลุกมายิงคนอื่นบ้างล่ะ คิดสิ คิด ก่อนจะตอบ
- โกรธที่จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด คือยาเสพติด แต่คดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดทะยานพุ่งสูงขึ้นทุกปี
- โกรธที่ออกกฎหมายมาแต่ละอย่าง มีแต่เอื้อประโยชน์ให้คนเสพ คนค้ายา ครม. อนุมัติกฎหมายว่า ถ้าครอบครองยาบ้าไม่เกิน 15 เม็ด และเฮโรอีน ไม่เกิน 300 กรัม จะถือว่าไม่เป็นโทษความผิดร้ายแรง รวมถึงปลดล็อกกัญชาให้ทุกคนรวมถึงเยาวชน เข้าถึงกัญชาได้ง่ายขึ้นด้วย
ถามว่าคนทั่วไปที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ใช้ชีวิตอย่างสะอาดบริสุทธิ์ได้ประโยชน์อะไรด้วย นอกจาก รับมือกับความเสี่ยงในชีวิตและครอบครัวกันเอาเอง
ประเทศไทย ที่เราเคยคิดกันเอาเองว่า ต่อให้ชีวิตหลายๆ อย่างจะ Suffer แค่ไหน อย่างน้อยก็ปลอดภัย ไม่เหมือนอเมริกา ที่อาจจะมีการกราดยิงได้ทุกเมื่อ ถามใจตัวเองว่า ตอนนี้เรายังรู้สึกปลอดภัยแบบนั้นได้ไหม เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ เราจะยังกล้าส่งลูกไปโรงเรียนได้อย่างสบายใจจริงหรือเปล่า…?
เหตุการณ์กราดยิงในไทย เริ่มเพิ่มความถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนเหตุที่โคราช ตาย 30 ศพ เราเคยคิดว่ามันคือความสูญเสียที่รุนแรงที่สุด ที่ไม่มีอะไรจะเทียบได้แล้ว แต่คราวนี้ 35 ศพ ในระยะเวลาห่างกันแค่ 2 ปี 8 เดือนเท่านั้น
อะไรจะการันตีได้ว่า การกราดยิงที่รุนแรงกว่านี้ มีคนตายมากกว่านี้ จะไม่เกิดขึ้นอีกในประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้
ถ้าหากตำรวจ และรัฐบาล ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เหมือนเป็นเหตุการณ์หนึ่ง โดยไม่มีบทเรียน ไม่แก้ไขใดๆ ชีวิตของทุกคนที่เสียไปในวันนี้จะไม่มีความหมายอะไรเลย
นี่คือโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุด คนทั้งประเทศเจ็บปวดจนไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ใกล้ชิดกับผู้เสียชีวิต ไม่รู้จะผ่านแต่ละวันไปได้อย่างไร ตอนนี้ต้องดูแลหัวใจกันอย่างใกล้ชิดจริงๆ
สุดท้าย ได้แค่เพียงภาวนาให้ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตทุกคนไปสู่สุคติ ไปสู่ภพภูมิที่ดี
และถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้หนูๆ ทุกคน ได้พบเจอแต่คนใจดี และได้เกิดมาในประเทศที่ปลอดภัยมากกว่านี้นะ
ขอบคุณเจ้าของบทความ : เพจ @วิเคราะห์บอลจริงจัง