ฉีก กม.ตัวเองลงชักโครก-อุ้มสมทุนสื่อสารควบรวม
หนุนฟ้องทุกศาล-ลงโทษกลุ่มทุนสื่อสารให้สาสม
“สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์” อัดยับมติอัปยศ กสทช.จงใจฉีกกฎหมายตัวเองลงชักโครก อุ้มสมทุนสื่อสารควบรวมกิจการสมใจอยากลอยแพประชาชนผู้ใช้บริการ สุดผิดหวัง กสทช.ตัวแทนผู้บริโภคกระทำตนสุดน่าอาย เรียกร้องเครือข่ายผู้บริโภคเป็นหัวหอกฟ้องศาลปกครอง-ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนมติ เอาผิดบอร์ด กสทช. พร้อมรณรรงค์ประชาชนลงโทษให้สาสม”
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ได้โพสต์เฟซบุ๊ค Somkiat Tangkitvanich ถึงมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม(กสทช.) ล่าสุดที่เห็นชอบดีลควบรวมธุรกิจระหว่าง ”ทรู-และดีแทค” ใจความว่า
การลงมติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมาของ กสทช. ซึ่งยอมให้ทรูและดีแทคควบรวมกันโดยอ้างว่า กสทช. ไม่มีอำนาจในการห้ามการควบรวมเป็น “มติอัปยศ” ของเสียงข้างมากโดยแท้ เนื่องจากเป็นมติที่ กสทช.จงใจตัดอำนาจของตน ไม่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย และก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนอย่างร้ายแรง เพราะทำให้ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยมีการผูกขาดมากขึ้น
ทั้งนี้ ผลการศึกษาในภาพรวมโดยนักวิชาการไทยหลายสถาบันชี้ว่า ราคาค่าบริการหลังควบรวมอาจสูงขึ้น 2-23% ในกรณีที่ไม่มีการสมคบราคากัน (ฮั้ว) ระหว่างผู้ประกอบการ 2 รายที่เหลืออยู่ แต่หากมีการฮั้วราคากัน อัตราค่าบริการอาจสูงขึ้นถึง 120-244% และ GDP ของประเทศจะหดตัวลง 0.5-0.6% เช่นเดียวกันกับผลการศึกษาของที่ปรึกษาต่างประเทศของ กสทช. เองที่ชี้ไปในทางเดียวกันว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีการควบรวม
“ผลการลงมติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ผมเองได้เคยคาดการณ์มาแล้วว่าจะมี “การเล่นกลทางกฎหมาย” ว่า กสทช. ไม่มีอำนาจห้ามควบรวม ตามที่ผู้บริหารสำนักงาน กสทช. และ กสทช. บางคน มีท่าทีชี้นำมาโดยตลอด แม้ว่าศาลปกครองกลางได้เคยพิจารณาในคดีที่เกี่ยวข้องแล้วว่า กสทช. มีอำนาจที่จะพิจารณาให้ควบรวมหรือไม่ให้ควบรวมก็ได้”
ที่อาจจะแปลกใจอยู่บ้างก็คือ มี กสทช. บางท่านไม่กล้าลงมติ ซึ่งอาจเกิดจากการกลัวความรับผิดทางกฎหมาย เพราะหากลงมติไปว่า กสทช. ไม่มีอำนาจพิจารณาให้ควบรวม ก็อาจจะเป็นการกลับความเห็นของตน ซึ่งแต่เดิม กสทช. ทั้งองค์คณะเคยมีมติ 3-2 ว่า กสทช. มีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมหรือไม่ก็ได้ เมื่อครั้งที่ชี้แจงต่อศาลปกครองกลาง อย่างไรก็ตาม ไม่เชื่อว่าการไม่ลงมติครั้งนี้จะทำให้ท่านรอดพ้นจากความรับผิดชอบไปได้ ซึ่งหากมีการฟ้องร้องคดีว่าท่านปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็น่าสนใจว่าจะมีคำตัดสินออกมาเป็นบรรทัดฐานต่อไปอย่างไร?
“ผมขอตำหนิ กสทช. เสียงข้างมาก โดยเฉพาะผู้ที่มาจากตัวแทนผู้บริโภคและผู้ที่มาจากตัวแทนของผู้ส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เพราะท่านทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงต่อการถูกกลุ่มทุนผูกขาดเอาเปรียบ และประชาชนถูกริดรอนสิทธิและเสรีภาพจากการมีทางเลือกที่ลดลง เช่นเดียวกัน ผมขอตำหนิ กสทช. ท่านที่ไม่กล้าแม้แต่จะออกเสียงลงมติตามหน้าที่ ทั้งที่มีเวลาให้ศึกษาประเด็นทั้งหลายมานานพอ ผมอยากเห็นทั้งสามท่านนี้ลาออกจากตำแหน่ง แม้จะคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ขณะเดียวกัน ผมขอแสดงความชื่นชม กสทช. เสียงข้างน้อยคือ รศ. ดร. ศุภัช ศุภชลาศัย และ ศ. ดร. พิรงรอง รามสูต ที่ได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และไม่อยู่ใต้อิทธิพลของกลุ่มทุน”
*ชี้เงื่อนไขและมาตรการเฉพาะไม่มีผล
ดร.สมเกียรติ ยังระบุด้วยว่า แม้ กสทช. จะอ้างว่าได้กำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะก่อนและหลังการควบรวม โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันผลกระทบในด้านลบที่จะเกิดขึ้น แต่มาตรการเหล่านี้แทบไม่มีผลในทางปฏิบัติในการคุ้มครองผู้บริโภคใดๆ เลย กล่าวคือ การให้ผู้ประกอบการที่ควบรวมกันลดราคาเฉลี่ยลง 12% ใน 90 วันหลังควบรวม เป็นการลดราคาที่น้อยเกินไป เพราะการศึกษาชี้แล้วว่า ราคาค่าบริการหลังควบรวมอาจสูงได้ขึ้น 120-244% ในกรณีที่มีการสมคบราคากัน (ฮั้ว) ระหว่างผู้ประกอบการ 2 รายที่เหลืออยู่ นอกจากนี้โดยทั่วไป ราคาค่าบริการโทรคมนาคมในตลาดที่มีการแข่งขันก็จะลดลงอย่างต่อเนื่องตามพัฒนาการทางเทคโนโลยีอยู่แล้ว
ส่วนการสั่งให้ผู้ประกอบการที่ควบรวมกันส่งข้อมูลต้นทุน และให้มีที่ปรึกษาไปตรวจสอบต้นทุน แสดงให้เห็นว่า กสทช. อนุญาตให้มีการควบรวมออกไป โดยไม่ทราบต้นทุนของผู้ประกอบการ ซึ่งหมายถึงการไม่ได้ทำหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนการให้ผู้ประกอบการที่ควบรวมกันคงแบรนด์ที่ให้บริการแยกจากกันเป็นเวลา 3 ปี ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการเลย และกลับทำให้ประโยชน์อันน้อยนิดจากการควบรวมไม่เกิดขึ้นหรือแม้แต่การให้ผู้ประกอบการที่ควบรวมกันต้องปฏิบัติตามกฎหมายในการใช้คลื่นความถี่อย่างเคร่งครัด จะเป็นได้อย่างไรในเมื่อ กสทช. ไม่ได้สั่งให้ผู้ประกอบการที่ควบรวมกันคืนคลื่นความถี่ที่ถืออยู่เกินกว่าที่กำหนดในเงื่อนไขการประมูล ซึ่งก็มีฐานะเป็น “กฎหมาย” ที่ออกโดย กสทช. เอง
ส่วนมาตรการอื่นๆ เช่น การกำหนดให้ผู้ประกอบการที่ควบรวมกันรักษาคุณภาพบริการ และการให้ใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ก็เป็นมาตรการที่มีอยู่เดิมแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จในการบังคับใช้ ครั้งนี้ก็เป็นเพียงการเอามาตรการเดิมมาเติมคำว่า “อย่างเคร่งครัด” เข้าไป ซึ่งเป็นการบอกในทางอ้อมว่า ที่ผ่านมา กสทช. ไม่ได้บังคับให้เกิดการปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้ “อย่างเคร่งครัด” เลย ดังนั้น ประชาชนจึงไม่อาจคาดหวังได้ว่า การควบรวมนี้จะไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อประชาชนจากการมีมาตรการต่างๆ ที่ กสทช. กำหนดขึ้น
*ประชาชนควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?
“ผมเคยกล่าวมาแล้วว่า คงมีแต่สำนึกของ กสทช. และพลังการตรวจสอบของประชาชนและสื่อมวลชนเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการผูกขาดในตลาดโทรคมนาคมในครั้งนี้ไปได้ ในเมื่อ กสทช. ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสำนึกต่อการทำหน้าที่ในการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน ประชาชนโดยเฉพาะองค์กรผู้บริโภคควรดำเนินการดังต่อนี้
- ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลยกเลิกมติของ กสทช. ที่ปล่อยให้มีการควบรวมกิจการ และขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวอย่าให้มีการควบรวมก่อนมีคำตัดสิน
- ดำเนินการเพื่อฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าการที่ กสทช. อนุญาตให้ควบรวมแล้วมีผลทำให้บริการโทรคมนาคมซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน จะมีค่าบริการที่สูงขึ้นในอนาคตและเป็นภาระต่อประชาชนตามที่มีผลการศึกษาหลายชิ้นชี้ไว้ ซึ่งจะทำให้การกระทำของ กสทช. ขัดต่อมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ในปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญก็กำลังพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับกิจการไฟฟ้าโดยอ้างมาตราเดียวกันอยู่
- ร่วมมือกับองค์กรด้านต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นร้องเรียนให้ ปปช. ตรวจสอบการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช.
- เรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยเฉพาะ สส. ตรวจสอบ กสทช. อย่างเข้มข้น และพิจารณาแก้ไขกฎหมาย กสทช. ครั้งใหญ่เพื่อปฏิรูป กสทช. และสำนักงาน กสทช. ให้มีความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อประชาชน
- รณรงค์ให้ประชาชนและผู้บริโภคแสดงออก โดยงดซื้อสินค้าและบริการจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทุนผูกขาด ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ อาหารและอาหารสัตว์ อินเทอร์เน็ต ระบบการชำระเงินและกิจการอื่นๆ