กองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอํานวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย จเรตํารวจ (สบ.8)/ปฏิบัติราชการ บช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. และ พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารจุ ิราลัย รอง ผบก.ป. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.1 บก.ป. ทําการสืบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ สน.พหลโยธิน และเจ้าหน้าที่ ตํารวจศาล กรณีนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก วางแผนหลบหนีออกจากศาลอาญา ขณะฟังพิจารณาคดี
พฤติการณ์กล่าวคือ สืบเนื่องจากปี 2564 กองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลางได้จับกุมและดําเนินคดี กับนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกง ประชาชนและความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ” รวม 6 คดี หลังจากมีพฤติการณ์หลอกลวงประชาชน ให้ร่วมลงทุนในธุรกิจประเภทต่างๆ เช่น การปล่อยเช่ากระเป๋าแบรนด์เนม ลงทุนซื้อคูปองทอง ลงทุนซื้อ แพ็กเกจท่องเที่ยว หรือลงทุนออมในระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนจํานวนมาก ซึ่งเป็น ผลตอบแทนที่สูงเกินความจริงอันจะสามารถประกอบกิจการได้ จนมีกลุ่มผู้เสียหายจํานวนหลายรายเข้ามาแจ้ง ความร้องทุกข์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาลจํานวน 2 คดี ส่วนนายประสิทธิ์ฯ ถูกสั่งคุมขัง ระหว่างพิจารณาคดีอยู่ที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพ
ต่อมาวันที่ 22 ธ.ค.2565 เวลาช่วงเช้า เจ้าหน้าที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพ ได้คุมตัว นายประสิทธิ์ฯ ผู้ต้องขังมาที่ศาลอาญา เพื่อเบิกความและตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการ สํานักงานคดีเศรษฐกิจ และทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กับพวกรวม 9 ราย เป็นจําเลย ณ ห้องพิจารณาคดี 903 (คดีหลอกลงทุนกระเป๋ากับบริษัท วีเลิฟยัวแบ๊ก (ไทยแลนด์)) ต่อมาในวันเดียวกันเวลาประมาณ 10.30 น. เจ้าหน้าที่ตํารวจกองบังคับการปราบปราม ได้รับการประสานจากศาลอาญาว่า ผู้ต้องขังชื่อ นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก พยายามหลบหนีระหว่างการพิจารณาคดี โดยนายประสิทธิ์ฯ อ้างว่าท้องเสียจึงได้ขออนุญาตไปเข้า ห้องน้ําบริเวณชั้น 9 ของศาลอาญา และใช้จังหวะนั้นฉวยโอกาสปลดเครื่องพันธนาการที่ข้อเท้า และทําการ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีคนนํามาให้หลังจากนั้นจึงวิ่งหลบหนีออกจากห้องน้ําชั้น9แตถู่กเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ได้ที่ บริเวณบันไดชั้น 3 ของศาลอาญา
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.1 บก.ป. จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ สน.พหลโยธิน และเจ้าหน้าที่ ตํารวจศาล ทําการตรวจสอบรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งทราบว่ากรณีที่นายประสิทธิฯ ผู้ต้องขัง หลบหนีจากศาลอาญานั้น มีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น ได้แก่ นายสมประสงค์ฯ (สงวน นามสกุล) อายุ 56 ปี เป็นผู้ที่นําเสื้อผ้ามาให้นายประสิทธิ์ฯ เปลี่ยนในห้องน้ําที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ผู้เสียหายที่ร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ฯ จํานวนกว่า 10 ล้านบาท ที่ยังคงเชื่อว่าหากไม่แจ้งความร้องทุกข์ และ คอยติดตามช่วยเหลือเรื่องคดีให้นายประสิทธิ์ฯ จะได้รับเงินจํานวนดังกล่าวคืน และยังมีกลุ่มอดีตพนักงาน กลุ่มเลขานายประสิทธิ์ฯ รวมทั้ง กลุ่มผู้ช่วยทนายความ ให้การช่วยเหลือและรู้เห็นในการวางแผนหลบหนีครั้งนี้
จากการตรวจสอบ พบพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าการพยายามหลบหนีในครั้งนี้มีการวางแผน ตระเตรียม มาก่อนล่วงหน้า ทั้งนี้หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐให้การช่วยเหลือ หรืออํานวยความสะดวกให้ผู้ต้องขัง หลบหนี เจ้าหน้าที่จะได้ทําการสืบสวนขยายผล ติดตามผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาดําเนินคดีต่อไป
เบื้องต้นถือว่าการกระทําดังกล่าวของนายประสิทธิ์ฯ เป็นความผิดฐาน “หลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขังตาม อํานาจของศาล” ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ในส่วนของผู้สมรู้ร่วมคิดในการช่วยเหลือนายประสิทธิ์ฯ เข้าข่ายเป็นความผิดฐาน “ช่วยให้ผู้ที่ถูกคุมขัง ตามอํานาจของศาล ของพนักงานอัยการ ของพนักงานสอบสวนหลุดพ้นจากการคุมขัง” ต้องระวางโทษ จําคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ทั้งนี้ศาลอาญาจะมีการพิจารณาตั้งข้อกล่าวหาผู้ที่เกี่ยวข้องในความผิดฐาน “ละเมิดอํานาจศาล” ซึ่งมี โทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือนด้วยเช่นกัน
อนึ่ง การนําเสนอข่าวประชาสัมพันธ์ครั้งนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์แก่ประชาชน ทั่วไป ซึ่งถือเป็นประโยชน์สาธารณะ