“ปูติน”ส่งสัญญาณพร้อมคุยกรณียูเครน หวังคลี่คลายวิกฤต นักวิเคราะห์ห่วงหากเกิดสงครามจริงส่อทำตลาดหุ้นดิ่งหนัก 7 ชาติผู้นำเศรษฐกิจใช้อาวุธขู่คว่ำบาตรหนักหน่วงสุด หากรัสเซียส่งทหารบุกยูเครน
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ส่งสัญญาณพร้อมเจรจาลดขัดแย้งกรณีรัสเซีย-ยูเครน ด้านนักวิเคราะห์ประเมิน หากรัสเซียบุกยูเครนจริง ตลาดหุ้นส่อดิ่งหนักกลายเป็นวิกฤตตลาดรอบใหม่ ขณะที่ราคาน้ำมันส่อพุ่งแรงกระทบผู้บริโภค
กลายเป็นสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ กรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ล่าสุดสหรัฐอเมริกา ได้เตือนว่ารัสเซียอาจบุกยูเครนได้ทุกเวลา ทำให้ผู้นำชาติต่าง ๆ ในยุโรปหวาดกลัวว่าสงครามจะเกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กลับส่งสัญญาณแสดงท่าที่ค่อนข้างชัดเจนว่า รัสเซียไม่ได้แสวงหาสงครามหรือใช้ความแข็งกร้าวในการจัดการปัญหาในครั้งนี้ ตรงกันข้ามรัสเซียต้องการใช้หนทางสันติวิธัเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
เว็บไซต์สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างอิงแถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียที่ระบุว่า ประธานาธิบดีปูตินได้อนุมัคิในหลักการของแนวทางการตอบสนองของทางกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียที่มีต่อข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯและชาติตะวันตกก่อนหน้านี้
โดย นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวต่อประธานาธิบดีปูติน ว่า รัสเซียควรดำเนินการเจรจากับสหรัฐฯและชาติตะวันตกต่อไป เกี่ยวกับข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงของรัสเซีย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครนและรัสเซีย ยังคงมีโอกาสที่จะบรรลุข้อตกลงด้านความมั่งคงกับชาติตะวันตก
รายงานะบุว่า ท่าทีและความเห็นของนายลาฟรอฟ กับความเห็นชอบผู้นำประเทศ เป็นการส่งสัญญ๊าณที่ชัดเจนว่ารัสเซียจะยังคงใช้แนวทางการทูตในการคลี่คลายวิกฤตการณ์ยูเครน แม้สหรัฐฯจะออกมาเตือนไม่กี่วันก่อนว่า รัสเซียอาจจะทำการโจมตียูเครนได้ทุกเมื่อ ซึ่งรัฐบาลรัสเซียได้โต้กลับว่าเป็นคำเตือนและความหวาดกลัวที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความจริงใด ๆ
ทั้งนี้สถานการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนเริ่มตึงเครียดมากขึ้นหลังจากรัสเซียยื่นข้อเรียกร้องต่อสหรัฐฯและชาติตะวันตกเพื่อให้มีการรับประกั้นว่า องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต จะไม่รับยูเครนและประเทศที่เคยอยู่ในอดีตสหภาพโซเวียตเข้าเป็นสมาชิกขององค์การนาโต อีกทั้งสหรัฐฯและพันธมิตรตะวันตก จะต้องถอนกำลังทหารออกจากกลุ่มประเทศในอดีตสหภาพโซเวียตด้วย แต่ทางสหรัฐฯกับนาโต ยืนกรานปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียควรเดินหน้าเจรจาต่อไป เพราะถึงแม้จะปฏิเสธข้อเสนอของรัสเซีย แต่สหรัฐฯก็ยื่นข้อเสนอที่มีผลดต่อรัสเซียเช่นกัน เช่น จำกัดการติดตั้งขีปนาวุธในยุโรป และลดขนาดการซ้อมรบ
รายงานระบุว่า ประธานาธิบดีปูตินได้กล่าวเห็นด้วยกับข้อเสนอของนายลาฟรอฟเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า รัสเซียจะเดินหน้าคุยกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ตราบใดที่ฝ่ายตรงข้ามให้หลักประกันด้านความมั่นคงปลอดภัยตามที่รัสเซียต้องการ
หลังจากที่ประกาศเห็นชอบกับแนวทางการเจรจากับรัฐมนตรีต่างประเทศเพียงไม่นาน นายเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย ได้ออกมาเปิดเผยว่า ทางกองทัพได้ยุติการซ้อมรบบางส่วนแล้ว และที่เหลืออีกส่วนหนึ่งกำลังจะยุติลงในเร็ววัน แม้จะไม่ได้กำหนดเวลาถอนทหารที่แนชัด แต่มีรายงานว่า ทหารจะกลับคืนสู่ฐานที่มั่นทั้งหมดในทันทีที่การซ้อมรบสิ้นสุดลง
ท่าทีดังกล่าวสอดรับกับการ้องขอของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ที่ต้องการให้รัสเซียถอนกำลังทหาร 130,000 นาย ออกจากพรมแดนติดกับยูเครน โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าจำนวนทหารดังกล่าวเป็นจำนวนทหารที่รัสเซียอ้างว่าส่งไปซ้อมรบ และการสั่งยุติการซ้อมรบของรมว.กลาโหมรัสเซีย ก็น่าจะถือว่าเป็นการตอบรับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯและยืนยันจุดยืนที่ต้องการใช้แนวทางการทูตของรัสเซียในการยุติปัญหายูเครน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งก็ออกมาคาดการณ์ถึงผลกระทบในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากว่ารัสเซียกับสหรัฐฯและชาติพันธมิตร ไม่สามารถแก้ปัญหาขัดแย้งกรณียูเครนได้ สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ระบุว่า ถ้ารัสเซียตัดสินใจบุกยูเครน ตลาดหุ้นทั่วโลกจะดิ่งลงอย่างหนักในทันที และกลายเป้นวิกฤตตลาดที่หนักหน่วงยิ่งกว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตในรอบสิบปี
เหตุผลเนื่องจากการบุกยูเครนของรัสเซียจะส่งผลต่อปริมาณซัพพลายน้ำมันดิบโลกในตลาด ดันให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอีก โดยอาจแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากราคาปัจจุบันที่พุ่งทะลุ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี
ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในตลาดที่ต้องแบกรับภาวะของแพง เพราะน้ำมันคือต้นทุนที่แฝงอยู่ในทุกกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ บีบให้ธนาคารกลางสหรัฐฯและธนาคารกลางในหลายประเทศฯทั่วโลกต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดหรือบรรเทาความร้อนแรงของเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตามท่ามกลางเศรษฐกิจที่เพิ่งจะฟื้นตัวจากวิกฤตไวรัสโควิดระบาด การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่มากเกินไปและเร็วเกินไป ก็เสี่ยงทำให้การขยายตัวเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังไม่แข็งแรงพอมีอันต้องสะดุดล้มไปได้ทุกเมื่อ ยิ่งเมื่อบวกกับการที่ชาติตะวันตกขู่จะคว่ำบาตรรัสเซีย ก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม
ทั้งนี้ที่ผ่านมานักลงทุนในตลาดสามารถมองข้ามความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างภูมิรัฐศาสตร์ว่า เป็นเรื่องขัดแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตลาด แต่ใม่ใช่สำหรับกรณีของรัสเซีย-ยูเครน เนื่องจากมีผลกระทบเกี่ยวกับน้ำมันเข้ามาเกี่ยวข้อง
ย้อนสถิติดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงเพียง 1% หลังเกิดเหตุปะทะ นายแซม สโตวอลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนแห่ง ซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ช กล่าวถึงการวิเคราะห์ปฏิกิริยาของตลาดต่อสถานการณ์ทางการทหารและการก่อการร้อย 24 ครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา พบว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวร่วงลงเพียง 1% เท่านั้น ต่อข่าวการโจมตีทางทหารหรือการก่อการร้ายใหญ่ ๆ และแต่ละครั้งใช้เวลาเฉลี่ย 52 วันในการที่ตลาดจะฟื้นกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ตามสถานการณ์วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ในครั้งนี้ ต่างออกไป เนื่องจากมีน้ำมันที่ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งตลาดทั่วโลกในขณะนี้ ค่อนข้างเปราะบางและอ่อนไหวต่อภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้นผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้จึงกระจายไปยังเศรษฐกิจทั่วโลกในวงกว้าง
ความวิตกดังกล่าวสอดคล้องกับท่าทีของสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือกลุ่ม G7 ที่ออกมาเตือนว่า รัสเซียจะต้องเผชิญมาตรการแทรกแซงทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง หากบุกยูเครน
แถลงการณ์ของกลุ่ม G7 ระบุชัดว่า การเสริมกำลังทหารของรัสเซียตามแนวชายแดนยูเครนเป็นสาเหตุที่ทำให้ G7 วิตกกังวลอย่างมาก และชาติสมาชิก G7 อย่าง อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ก็พร้อมที่จะจับมือกันในการแก้ปัญหาเพื่อปกป้องอธิปไตย และเสถียรภาพของเศรษฐกิจและการเงินของตนเองด้วย
ขณะเดียวกัน แม้ว่า G7 จะให้ความสำคัญกับการลดความตึงเครียดเป็นอันดับแรกสุด แต่ G7 ก็พร้อมที่จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงินอย่างหนักหน่วงทันทีต่อรัสเซียเช่นกัน
