กสม. ยินดี ครม.ตอบรับข้อเสนอเกี่ยวกับปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค หลังประธาน กสม.มีหนังสือถึงนายกฯ ขอให้เร่งคุ้มครองสิทธิประชาชนที่ไม่มีบัตรทอง – เตรียมเสนอกระทรวง พม. แก้ไขกฎหมายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน
วันที่ 16 มีนาคม 2566 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายภาณุวัฒน์ ทองสุข ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 11/2566 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
กสม. ยินดี ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาคุ้มครองสิทธิประชาชนในการรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรค หลังประธาน กสม. มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเสนอให้เร่งแก้ปัญหา
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามสถานการณ์สิทธิด้านสุขภาพและรับทราบข้อห่วงกังวลจากภาคีเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค อันเนื่องมาจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้มีมติเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ให้ชะลอการจัดสรรงบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (Promotion and Prevention: PP) การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (PP-HIV) การดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น ซึ่งต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เป็นผลให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนของ สปสช. เป็นค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพฯ สำหรับประชาชนที่อยู่นอกสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) อันได้แก่ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ของกฎหมายประกันสังคม ประมาณ 18 ล้านคน เช่นที่เคยเป็นมาได้
จากสถานการณ์ดังกล่าว กสม. และภาคีเครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชนจึงได้จัดประชุมเพื่อรับฟังข้อมูลและข้อคิดเห็นต่อกรณีข้างต้นจากผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม 2566 พบว่า ปัจจุบันหน่วยบริการไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายสร้างเสริมสุขภาพฯ จาก สปสช. สำหรับผู้ที่อยู่นอกสิทธิบัตรทองได้ ทำให้หน่วยบริการบางแห่งยุติการให้บริการดังกล่าวแก่ผู้อยู่นอกสิทธิบัตรทอง ส่วนหน่วยบริการที่ยังคงให้บริการต่อเนื่องต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เอง จึงอาจไม่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การเข้าไม่ถึงบริการป้องกันโรค เช่น บริการคุมกำเนิด การฝากครรภ์ การยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย การให้วัคซีนป้องกันโรคแก่เด็ก และการป้องกันการติดเชื้อ/การดูแลสุขภาพผู้ติดเชื้อเอชไอวี อาจทำให้ปัญหาสุขภาพสำคัญที่รัฐบาลพยายามแก้ไขและมีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับกลับมาเป็นปัญหาอีก เช่น การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น การติดเชื้อและเสียชีวิตจากเอชไอวี/เอดส์ในอัตราที่สูงขึ้น รวมถึงมีผลกระทบต่อบริการสาธารณสุขในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการสำหรับผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า การสร้างเสริมสุขภาพช่วยลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ และลดภาระงบประมาณของประเทศในการดูแลรักษาพยาบาลให้แก่ประชาชน ซึ่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และรัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐอย่างทั่วถึง การที่หน่วยบริการไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายของผู้ที่อยู่นอกสิทธิบัตรทองจากงบประมาณสร้างเสริมสุขภาพฯ ของ สปสช. ซึ่งเป็นปัญหาเกิดขึ้นมานานกว่า 5 เดือน และเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนบางกลุ่มที่ต้องได้รับบริการต่อเนื่องนั้น ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 47 และมาตรา 55 รวมทั้งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับสิทธิที่จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตตามมาตรฐานสูงสุดเท่าที่เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ กสม. โดย นางสาวพรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงมีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 10 มีนาคม 2566 เรื่อง ข้อเสนอแนะมาตรการคุ้มครองสิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขด้านสร้างเสริมสุขภาพฯ สำหรับผู้ที่อยู่นอกสิทธิบัตรทองให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร่งด่วน ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา เห็นชอบในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา 4 ฉบับ ที่กำหนดให้ผู้ที่ไม่ได้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่นที่จำเป็น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ อันสอดคล้องกับข้อเสนอของ กสม.
สำหรับข้อเสนอของ กสม. ประกอบด้วย
(1) ขอให้ ครม. เร่งรัดให้ สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้การจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 9 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 อันมีสาระให้สิทธิบริการด้านสร้างเสริมสุขภาพฯ ครอบคลุมถึงผู้ที่อยู่นอกสิทธิบัตรทอง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นมีผลใช้บังคับโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนที่อยู่นอกสิทธิบัตรทองทุกกลุ่มมีสิทธิเข้าถึงบริการสาธารณสุขด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่นที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตได้อย่างเท่าเทียม
(2) ในระหว่างการจัดทำกฎหมายตามข้อ (1) ให้ ครม. สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช. ดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ที่อยู่นอกสิทธิบัตรทองสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อคุ้มครองและแก้ไขปัญหาแก่ผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงชดเชยเงินให้แก่หน่วยบริการสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้สำรองค่าใช้จ่ายในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปก่อนแล้ว
“เป็นที่น่ายินดีที่ ครม. ตอบรับข้อเสนอ และลงมาช่วยแก้ปัญหา ซึ่งจะช่วยขจัดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขด้านการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรค อย่างไรก็ตาม อยากฝากเรื่องการเยียวยาและชดเชยเงินให้กับหน่วยบริการสุขภาพที่ได้สำรองเงินไปก่อนด้วย” นายวสันต์ กล่าว