เมื่อวันที่ 23 มี.ค. พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พร้อมด้วย พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. สั่งการให้ พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์ ผกก.1 บก.ปอท. พ.ต.ท.ภานุภัทร กิตติพันธ์ รอง ผกก.1 บก.ปอท นำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 จุด ใน กทม. 2 จุด และ นนทบุรี 1 จุด เพื่อจับกุม นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี และ นายบี (นามสมมุติ) อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาขบวนการแฮกเกอร์ เจาะระบบโจรกรรมโค้ดรางวัลเงินดิจิทัล
ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 824/2566 และ 825/2566 ลงวันที่ 21 มี.ค. 2566 ข้อหา “ร่วมกันทุจริตหลอกลวงโดยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, ร่วมกันเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ, ร่วมกันทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกรบกวนหรือเสียหาย และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น” สองผู้ต้องหาขบวนการแฮกเกอร์ เจาะระบบโจรกรรมโค๊ดรางวัลเงินดิจิทัล
โดยเป้าหมายสำคัญเป็นห้องพักย่านบึงกุ่ม กทม.ของนายเอ พบว่ากำลังนอนพักผ่อนอยู่กับน้องชาย เจ้าหน้าที่จึงแสดงหมายเข้าจับกุมพร้อมตรวจค้นภายในห้อง ยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง สิ่งเทียมอาวุธปืนหรือ บีบีกัน 1 กระบอก และฝาเครื่องดื่มจำนวนหนึ่ง ส่วนอีกจุดเป็นห้องพักของนายบี ย่านบางกะปิ กทม. พบตัวผู้ต้องหาตามเป้าหมาย จึงแสดงตัวเข้าจับกุมพร้อมยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และ หลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ตรวจสอบ
สำหรับปฏิบัติการดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้มีตัวแทนจากบริษัททรูมันนี่ จำกัด และบริษัทที่เกี่ยวข้อง เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอศ. ว่า มีคนร้ายแฮกระบบขโมยข้อมูลโค้ดรหัสใต้ฝาเครื่องดื่มพาวเวอร์ไทเทเนียม กว่า 300,000 ครั้ง ก่อนนำโค้ดที่ได้ไปสแกนขึ้นเงินรางวัลผ่านทรูมันนี่ วอลเลต 60,000 ครั้ง จนทางบริษัทได้รับความเสียหาย หลังรับเรื่องจึงจัดกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแส กระทั่งสามารถพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ก่อเหตุได้
จากการตรวจสอบพบว่า นายเอ ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาโท คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยชื่อดัง มีความรู้และความชำนาญเกี่ยวกับระบบซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี สอบสวนเบื้องต้นทั้งสองให้การสารภาพ โดยนายเอ ยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือแฮกระบบของบริษัทผู้เสียหาย เพื่อขโมยเอาโค้ดรหัสใต้ฝาเครื่องดื่มชูกำลังมาใช้สแกนแลกเงินดิจิทัลจริง ซึ่งหลังจากได้โค้ดรหัสมาแล้วก็จะให้ นายบี เพื่อนสนิท เป็นผู้นำไปสแกนแลกเงินรางวัล ก่อนจะนำเงินที่ได้มาแบ่งกัน ส่วนสาเหตุที่ทำไปก็เพื่อต้องการหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เนื่องจากปัจจุบันตกงานไม่มีรายได้