วันที่ 27 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเปิดเผยภายหลังการประชุมก.ต.ช.ครั้งที่2 และการประชุม ก.ตร. ครั้ง4 นานกว่า 2 ชั่วโมง ก็เปิดเผยว่าการประชุมในวันนี้ได้มีการพิจารณาการตั้งที่ปรึกษาและการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบและการลงโทษให้สอดคล้องกับกฎหมายกฎหมายใหม่ซึ่งจะมีการประกาศใช้ในเร็ววันนี้
อีกทั้งยังขอความเห็นใจจากประชาชนให้เป็นกำลังใจให้ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้อง อย่าเหมารวมว่าตำรวจทุกคนจะเป็นคนไม่ดี เพราะจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องเสียกำลังใจนอกจากนี้ยังกล่าวถึงคดีการฆาตกรรมวางยาด้วยสารไซยาไนด์หลายคดีที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนและติดตามเรื่องดังกล่าว
โดยเรื่องนี้ได้มีการพูดคุยหารือกับ พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงแนวทางการสืบสวนสอบสวน และกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการลงโทษผู้ต้องหาอย่างเด็ดขาดตามขั้นตอนของกฎหมาย และเชื่อว่าตำรวจจะสามารถตรวจสอบและสืบสวนสอบสวนเรื่องราวดังกล่าวได้
ด้านพลตำรวจเอกดำรงศักดิ์เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวได้กำชับให้ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลสืบสวนสอบสวนในเรื่องดังกล่าวกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขณะนี้พบว่ามีความคืบหน้าไปมากแล้วซึ่งทราบว่าขณะนี้ชุดสืบสวนสอบสวนมีพยานหลักฐานค่อนข้างครบถ้วนตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แต่เชื่อว่าอาจมีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรีบเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับสถานีตำรวจในพื้นที่หรือแจ้งข้อมูลที่สายด่วน 191
นอกจากนี้ยังกำชับให้ชุดสืบสวนสอบสวนตรวจสอบข้อมูลในคดีดังกล่าวอย่างละเอียดเพราะเชื่อว่าผู้ต้องหาอาจไม่ได้ก่อเหตุเพียงคนเดียวจึงต้องสอบสวนสามีที่เป็นตำรวจและพี่สาวที่เป็นเภสัชกรอย่างละเอียด เพราะพบว่าผู้ต้องหามีการใช้สารดังกล่าวแบบผู้มีความรู้แต่วิธีการใช้จะมาจากบุคคลใดต้องรอการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่อย่างละเอียด
และจากคดีดังกล่าวได้กำชับให้สถาบันนิติเวชวิทยาโรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานทุกพื้นที่ เพิ่มความละเอียดในการตรวจสอบการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติจากศพและที่เกิดเหตุต่างๆว่ามีการใช้สารเคมีดังกล่าวเกิดขึ้นหรือไม่ หลังจากที่มีผู้เสียชีวิตในในคดีดังกล่าวเป็นจำนวนมากแต่กลับไม่ได้มีการผ่าพิสูจน์หรือตรวจสอบหาสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างละเอียด