11.00 น. 8 พ.ค. ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม.
ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ พาผู้เสียหายกว่า 50 คน เข้าพบ พนักงานสอบสวน บก.ปอศ.แจ้งความกรณีถูกร้านเพชร ชื่อดังย่านสมุทรสาคร ฉ้อโกง ซื้อแล้วไม่ได้ของ ผู้เสียหายกว่า 500 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท
โดย ทนายไพศาล เปิดเผยว่า มีกลุ่มผู้เสียหายเข้ามาปรึกษา เรื่องถูกร้านเพชรมีพฤติกรรมฉ้อโกง หลอกให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในหลายรูปแบบ ตามโปรโมชั่นของร้าน แต่พบว่ากลับไม่ได้เครื่องเพชร หรือบางรายได้เพชรคุณภาพไม่ตรงตามที่โฆษณา ซึ่งร้านดังกล่าว จะมีการไลฟ์สดขายเพชรผ่านทางออนไลน์ โดยมีหน้าร้านที่ดูหน้าเชื่อถือ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อก็ตรงลงซื้อเพชร มีการจ่ายเงิน แต่เมื่อถึงเวลากำหนดส่งเครื่องเพชร กลับมีการผลัดวันประกันพรุ่ง ขอเลื่อนหลายครั้ง จนเป็นที่น่าสงสัย นอกจากนี้ยังมีการชวนลงทุนเพชร ซึ่งใครๆต่างก็รู้กันว่า หลังจากที่ซื้อเพชรมา หากนำไปขายราคาจะตกลงในระดับหนึ่ง ร้านนี้ก็มีโปรโมชั่นออกมา ว่าถ้าซื้อเพชรกับทางร้าน ผ่านไป1ปี เมื่อนำเพชรมาขายนอกจากราคาจะไม่ลดแล้ว ยังมีเงินคล้ายๆ กับการให้เปอร์เซ็นต์แถมด้วย ทำให้ผู้เสียหายหลายคนหลงเชื่อ เพราะเป็นเหมือนการลงทุน แถมยังได้เพชรมาใส่เล่นด้วย หรือล่าสุดที่มีโปรโมชั่น เติมเงินเข้าไปในกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อแลกซื้อเพชร เช่น หากเติมเงินเข้าไปในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์50,000บาท สามารถแลกซื้อเพชรในราคามูลค่า 700,000บาทได้
นอกจากผู้เสียหายที่เกิดจากการซื้อเพชร หรือหลงเชื่อกับการเติมเงิน เพื่อแลกซื้อเพชร นั้นยังมีซัพพลายเออร์ผู้จัดหาเพชร ที่กลายเป็นผู้เสียหาย โดยเจ้าของร้านได้ไปซื้อเพชรกับซัพพลายเออร์ โดยอาศัยเคดิต ยังไม่มีการจ่ายเงิน อ้างว่าถ้าได้เงินจากลูกค้าจะนำมาจ่ายให้กับซัพพลายเออร์ แต่กลับพบว่าไม่มีการจ่ายเงินให้กับซัพพลายเออร์แต่อย่างใด จนกระทั้งปิดร้าน และเพจหนีไป ส่วนประเด็นที่พนักงานของร้านถูกลอยแพเช่นเดียวกันนั้น เนื่องจากเดินทางไปทำงานตามปกติ แต่พบว่าร้านปิด และติดต่อเจ้าของไม่ได้ แถมถูกลูกค้าโทรมาทวงถามหาเครื่องเพชรที่ถึงกำหนดส่ง จนเจ้าตัวต้องไปลงบันทึกประจำวันนั้น จากที่ตนสอบถามเชื่อว่าพนักงานไม่มีส่วนรู้เห็นกับทางเจ้าของร้านแต่อย่างใด
ซึ่งจากการสอบถามข้อมูลพบว่าเจ้าของร้านเพชร หลังจากที่ปิดร้านหนีได้ไปลงทุนทำร้านกาแฟ ในพื้นที่จังหวัดอุดรฯ แต่เมื่อส่งผู้ช่วยในทีมตนไปกลับไม่พบเจ้าขร้านแต่อย่างใด ทั้งนี้เชื่อว่า เจ้าเจ้าของร้านเพชร ยังไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ เพราะลูกเขายังเรียนอยู่ที่นี้ อย่างไรก็ตามการกระทำดังกล่าว เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน จึงได้พาผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความเอาผิด นอกจากนี้ยังมีการไลฟ์สด เข้าข่ายการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้าพบว่าเข้าข่ายก็จะดำเนินคดีในข้อหานี้ด้วย
ต่อมาเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน ทนายรัชพล ศิริสาคร พาผู้เสียหายอีกกลุ่ม ในคดีร้านเพชร เจ้าเดียวกันโกง จำนวน 10 คน เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. แจ้งความเอาผิดเจ้าของร้านเพชรเจ้าเดียวกัน
หนึ่งในตัวแทนผู้เสียหายเล่าว่า ตนเสียหายไป 4 แสนกว่าบาท ซึ่งเดิมที ตนเป็นลูกค้าของร้านนี้มาตั้งแต่ปี 2563 อีกทั้งยังเคยไปที่ร้านแถวเพชรเกษม ซึ่งภายในร้านมีอุปกรณ์ทุกอย่างครบ ทั้งโรงหล่อ และพนักงาน ชำนาญการ ก่อนที่ทางร้านจะย้ายไปอยู่ที่อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งลักษณะการขายของร้านนั้น จะเป็นการไลฟ์สด และเปิดพรีออเดอร์ แรกๆ ตนก็ได้ของตามปกติ เป็นลูกค้าประจำ จนเมื่อช่วงเดือนธธันวาคมที่ผ่านมา ทางร้านเริ่มจัดส่งของช้า แต่ทางร้านก็ได้มีการจ่ายค่าชดเชยให้ ก่อนที่เมื่อไม่กี่วันก่อน ตนจะทักไปทวงถามเพชรที่สั่งพรีออเดอร์ไว้ และทางร้านก็บล็อกเฟซบุ๊ก จึงเข้าแจ้งความในทันที นอกจากนี้ตนยังบอกงฝอีกว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีรุ่นพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง มาเตือนว่า ได้ไปที่หน้าร้านแล้วพบว่าไม่เห็นร้านแล้ว แต่ด้วยความไว้ใจ เป็นลูกค้ามานาน จึงได้ต่อว่ารุ่นพี่คนดังกล่าวไป ก่อนจะมารู้ตัวว่าโดนหลอก ก็รู้สึกเสียใจและผิดหวังที่ไม่ยอมเชื่อคนที่มาเตือน
นอกจากนี้ ผู้เสียหายอีกคนเล่าว่า นอกจากขายเพชรแล้ว ทางร้านดังกล่าว จะเปิดให้มีการออมเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ลงทุน 5 พัน ผ่านไป 1 ปีจะได้เงินตอบแทนกลับมา 5 หมื่นบาท แต่พอถึงเวลาที่กำหนด กลับไม่ได้อะไรเลย
ทางด้านทนายรัชพล เผยว่า ทางร้านดังกล่าวเปิดมา 5 ปี ซึ่งทางร้านมีใบรับประกัน GIS ปกติจะมียอดรีวิวในการขายที่ดีมาตลอด กระทั่งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา จู่ๆก็ปิดร้านหนีไปเลย เบื้องต้น จะเข้าแจ้งความ 2 ข้อหา ฉ้อโกงประชาชน / นำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์