องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ ชงจุฬาฯ มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ‘พล.ต.ต.ปวีณ’
“…คณะกรรมการกลางบริหาร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเห็นว่า พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ สมควรได้รับพระราชทานปริญญารัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับ พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ และเป็นตัวอย่างอันดีแก่สังคมให้เชิดชูบุคคลที่กระทำความดีโดยสุจริตใจและไม่หวังสิ่งตอบแทน ความดีอันเกิดจากเนื้อแท้แห่งตน ผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ และแม้ต้องเผชิญความยากลำบากแห่งการกระทำความดี ก็หาได้หยุดกระทำความดีนั้น แต่กลับยิ่งเร่งรุดช่วยเหลือผู้คน จนต้องตกระกำลำบากดังเช่นที่ทุกคนทราบกันดี…”
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ออกแถลงการณ์คณะกรรมการกลางบริหาร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง เสนอให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้กับ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์
ระบุว่า ตามที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัย “ชั้นสูง” ที่เน้นย้ำความสำคัญอยู่เสมอว่าเป็น “เสาหลักแห่งแผ่นดิน” มีพันธกรณีในการอบรมคุณธรรมและจริยธรรมให้กับนิสิตและบุคลากร เพื่อให้สำเร็จการศึกษาออกไปเป็นบัณฑิตที่เพียบพร้อมด้วยความรู้ ความสามารถ ควบคู่กับคุณธรรมและความสุจริต เพื่อเป็นกำลังหลักในการพัฒนาบ้านเมือง และยังประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติสืบไป
พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 นับได้ว่าเป็นตัวอย่างของข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี เพื่อทวงความยุติธรรมในคดีค้ามุษย์ชาวโรฮีนจาอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ยอมจำนนต่ออิทธิพล หรือเกรงลัวอำนาจนอกกฎหมาย แม้จะถูกคุกคาม หรือถูกข่มขู่ทำอันตรายถึงชีวิต ถือเป็นบุคคลที่สมควรได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” อย่างแท้จริง จึงเป็นที่น่าเสียดายว่าบุคคลผู้เปี่ยมด้วยคุณวุฒิและคุณธรรมเช่นนี้กลับต้องถูกอิทธิพลและผู้มีอำนาจกลั่นแกล้ง จนต้องลี้ภัยออกนอกมาตุภูมิ อีกทั้งยังไม่ได้รับความยุติธรรมใดๆ ที่สมควรได้รับ
ตามเหตุแห่งพันธกรณีของจุฬาฯที่กล่าวมาข้างต้น ในฐานะมหาวิทยาลัยที่เน้นการพัฒนาบัณฑิตให้มีคุณธรรม จึงควรมีส่วนร่วมในการเชิดชูเกียรติของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ด้วยการขอพระราชทานปริญญารัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
โดยหากเปรียบเทียบกับผู้เคยได้รับพระราชทานดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ก่อนหน้านี้แล้ว พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ถือได้ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งในด้านคุณวุฒิและคุณธรรม ไม่ว่าจะเป็นความซื่อตรงต่อวิชาชีพ ไม่ยอมแพ้ต่อความไม่ถูกต้อง หรือความสามารถในการสืบสวนสอบสวนจนเป็นเหตุให้สามารถจับกุมผู้มีตำแหน่งระดับสูงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ก็ตาม
ทั้งนี้ หากพิจารณาการมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์โดยที่ประชุมสภาจุฬาฯ อาทิ การตัดสินใจมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่นายธนินท์ เจียรวนนท์ ในปีการศึกษา 2563 จะเห็นได้ว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ก็สมควรได้รับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ในการนี้ คณะกรรมการกลางบริหาร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ จึงเห็นว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ สมควรได้รับพระราชทานปริญญารัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับ พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ และเป็นตัวอย่างอันดีแก่สังคมให้เชิดชูบุคคลที่กระทำความดีโดยสุจริตใจและไม่หวังสิ่งตอบแทน ความดีอันเกิดจากเนื้อแท้แห่งตน ผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ และแม้ต้องเผชิญความยากลำบากแห่งการกระทำความดี ก็หาได้หยุดกระทำความดีนั้น แต่กลับยิ่งเร่งรุดช่วยเหลือผู้คน จนต้องตกระกำลำบากดังเช่นที่ทุกคนทราบกันดี นอกนั้นแล้ว การมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ดังกล่าว ยังเป็นการประกาศถึงพันธกรณีของจุฬาฯในการสนับสนุนผู้กระทำความดีให้เป็นที่เชิดชูของสังคมต่อไป
คณะกรรมการกลางบริหาร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงขอให้มหาวิทยาลัย พิจารณาดำเนินการต่อไป
สำหรับ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ได้รับการกล่าวถึงอีกครั้งโดย นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่อภิปรายสถานการณ์การค้ามนุษย์โรฮีนจาอย่างดุเดือดกลางสภา เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา
ขณะที่วานก่อน (19 ก.พ.2565) พล.ต.ต.ปวีณ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบออนไลน์กับนายรังสิมันต์และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ระบุว่า วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่ง เป็นเรื่องความทุกข์ที่สร้างความเครียดเรื่องหนึ่งในชีวิต นับแต่ต้องหนีออกจากประเทศไทย จนถึงวันนี้นับเป็นเวลา 6 ปี 3 เดือน 3 วัน จากการถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก สตช. จากรัฐบาล และผู้มีอำนาจ จากการอภิปรายของพรรคก้าวไกลกับการเปิดเผยเรื่องราวที่ผ่านมา ขอยืนยันว่านั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง