วันที่ 12 ก.ค. 66 ที่สำนักงานทนายความคู่ใจ ญาติของน้องโค้ก อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.3 พร้อมเพื่อน อายุ 15 ปี (เพื่อนรุ่นพี่) เดินทางเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ให้ช่วยเหลือหลังน้องโค้ก ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านกลาง จ.เพชรบูรณ์ 4 นาย ใช้รถกระบะขับกวดไล่จับน้องโค้กพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน และเวลาต่อมาน้องโค้กถูกยิงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 ใน 4 นาย จนได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องส่งไปรักษาตัวต่อที่รพ.หล่มสัก แต่อาการสาหัสแพทย์ต้องส่งตัวต่อไปรักษาที่ รพ.เพชรบูรณ์
ล่าสุดอาการน้องโค้กยังคงต้องนอนพักรักษาอยู่ในห้องไอซียู เป็นตายเท่ากัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ก.ค. 66 เวลา 16.00 น. แต่หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านกลาง กับไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจทั้ง 4 นาย มีเพียงแค่การลงบันทึกประจำวันไว้แค่ว่าน้องโค้กผู้บาดเจ็บพร้อมเพื่อนรวม 4 คน มีปัญหาทะเลาะวิวาทกับกลุ่มวัยรุ่นในงานบวชที่วัดแห่งหนึ่ง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไประงับเหตุก่อนจะเกิดอุบัติเหตุปืนลั่นใส่หัวน้องโค้ก จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะขับรถไล่จับกุมแต่ถนนไม่ดีขรุขระเป็นหลุมทำให้ปืนลั่น
น้องเอ็กซ์ (เพื่อนรุ่นพี่น้องโค้ก) กล่าวว่า วันเกิดเหตุตนพร้อมน้องโค้กและเพื่อนรวม 4 คน เดินทางไปรวมงานบวชรุ่นพี่ที่วัดโนนสมบูรณ์ ในจ.เพชรบูรณ์ พอขบวนแห่นาคผ่านมาก็สังเกตุเห็นมีกลุ่มวัยรุ่น 4 คน ยืนมองมาที่พวกตนแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรกระทั่งใกล้ถึงวัดกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวได้มาดักรอพวกตนอยู่ทางเข้า ตนเห็นท่าไม่ดีจึงได้บอกกับน้องโค้กและเพื่อนให้กลับบ้านไปก่อน จากนั้นน้องโค้กกับเพื่อนอีก 2 คน จึงได้นั่งซ้อนท้ายรถจยย.ซ้อน 3 โดยน้องโค้กนั่งหลังสุดเพื่อกลับบ้านเหลือตนอยู่ที่งานเพียงคนเดียว ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นายขับรถกระบะเข้ามาหาก่อนจะขอตรวจค้นอาวุธตนแต่ไม่พบ ก่อนควบคุมตัวตนขึ้นรถไปกระทั่งรถขับมาถึงบริเวณถนนเลียบคลองประปา ม.6 ต.บ้านกลาง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ก็พบเห็นว่าน้องโค้กกับเพื่อนขี่รถจยย.อยู่ข้างหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เร่งเครื่องรถตามไปจนเกือบจะทัน เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งชักอาวุธปืนออกมาจากเอวก่อนจะปืนเปิดประตูรถและหันอาวุธปืนไปที่กลุ่มน้องโค้ก หลังจากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมา 1 นัด เห็นน้องโค้กร่วงตกลงมาจากรถก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะขับรถกระบะปาดหน้ารถจยย.จนเสียหลักล้ม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ลงไปดูและควบคุมตัวเพื่อนอีก 2 คนขึ้นรถกระบะมา โดยที่น้องโค้กยังนอนนิ่งอยู่ที่พื้นมีตำรวจ 2 นายเฝ้าไว้ ส่วนอีก 2 นายขับรถกระบะพาพวกตนไปที่สภ.เพื่อสอบปากคำก่อนจะปล่อยตัวกลับบ้านไป
ด้านนางมนัด พาแก้ว อายุ 56 ปี (ยายน้องโค้ก) เล่าทั้งน้ำตาว่า ตนทราบเรื่องจากเพื่อนหลานว่าหลานชายรถล้มหัวฟาดพื้นถูกส่งไปรพ.หล่มสัก ตนพร้อมกับญาติจึงได้เดินทางไปที่รพ.แต่เมื่อไปถึงแพทย์ที่ทำการรักษาน้องโค้กบอกว่าน้องโค้กได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลถูกยิงที่ศีรษะอาการสาหัสเป็นตายเท่ากัน ไม่ได้บาดเจ็บจากรถล้มตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอก จึงเดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าทีตำรวจสภ.บ้านกลาง แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกับบอกกับตนว่าไม่ต้องแจ้งตำรวจแจ้งไว้แล้ว หลังจากนั้นมีนายตำรวจผู้บังคับบัญชาตำรวจทั้ง 4 นายเข้ามาพูดคุยบอกว่าจะให้ความเป็นธรรม แต่ผ่านไปหลายวันคดีกับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใดจึงเดินทางมาร้องเรียนกับทางทนายรณณรงค์ให้ช่วยเหลือในเรื่องคดีความของหลานชายเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากคนก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เกรงจะมีการช่วยเหลือกันทำให้ตำรวจที่ก่อเหตุไม่รับโทษ ซึ่งตนมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตำรวจไม่น่านจะทำรุนแรงขนาดใช้อาวุธปืนยิงใส่ศีรษพหลานชายขนาดนี้ ทำไมไม่จับกุมแบบปรกติหลานชายก็ไม่มีอาวุธอะไร
น.ส.เอื้อมพร กล่าวว่า อาการถึงวันนี้ คุณหมอได้ส่งน้องเข้าห้องผ่าตัดยังไม่รู้ว่าอาการจะเป็นยังไง เมื่อวานน้องชายบอกกับตนว่า คุณหมอจะส่งเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง เพราะมีเลือดคลั่งในสมอง น้องชายมีอาการชักและเป็นไข้ เมื่อวานตนไม่ได้เข้าเยี่ยมแต่วันก่อนน้องมีไข้ ความดันสูง และหัวใจเต้นเร็ว ต้องทานอาหารเหลว ไม่ย่อย ตอนเช้าของวันก่อนหมอได้มีการให้ยากันชัก และก่อนจะหมดเวลาเยี่ยมคุณหมอก็ให้ยานอนหลับน้องชายของตนอีกครั้ง เพราะมีอาการเกร็ง คุณหมอแจ้งว่าน้องโดนยิงทะลุเส้นเลือดใหญ่ กะโหลกแตก ตนยืนยันว่าน้องชายไม่ได้ล้มเพราะอุบัติเหตุ แต่ไม่ทราบสาเหตุ ตอนนี้ตนมีความกังวลใจ เพราะเป็นตำรวจในพื้นที่ จึงไม่มั่นใจในการทำงานของตำรวจ ตั้งแต่วันเกิดเหตุตนไม่เคยเจอผู้ก่อเหตุทั้ง 4 คนเลย ตอนนี้ยังไม่มีตำรวจติดต่อมาให้ตนเข้าไปสอบปากคำเลย
ด้านนายรณณรงค์ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวในขณะที่เจ้าหน้าที่ยิงนั้นอยู่ในขณะปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เพราะมีการใช้อำนาจตาม ป.วิอาญา จับกุม ควบคุม มีการใช้อำนาจตามกฎหมาย ในการจับคุม รูปแบบประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ไม่ได้บอกว่าต้องจับแบบไหน แต่กฎหมายจะเขียนว่าให้ดูพฤติการคดี ข้อหา และผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือมีอาวุธหรือไม่ ทั้งนี้ต้องดูจากข้อหา แต่ในกรณีนี้คือกลุ่มวัยรุ่นตีกัน ไม่ได้มีการใช้อาวุธยิงสวนมา เจ้าหน้าที่ไม่ควรใช้อาวุธยิงไป ประเด็นสำคัญคือ วิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน เห็นกระทำความผิดแบบนี้จะต้องส่งจดหมายไปเชิญผู้ปกครองมาที่โรงพัก ไม่ใช่ไปจับคุม เว้นแต่ทำผิดแบบซึ่งหน้า หากจับมาก็ต้องปล่อยเพราะเป็นเด็กและเยาวชน กฎหมายไม่ได้บอกว่าหากเห็นเยาวชนขี่รถ หรือมีการตีกันเจ้าหน้าที่ต้องขับรถเบียดหรือเอาปืนไล่ยิง แต่สามารถใช้วิธีการบันทึกภาพไว้ได้และไปขยายผลทีหลัง กรณีนี้ไม่ได้ทำขั้นตอนตามกฎหมายจึงเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เรื่องนี้ควรให้ภาคหรือกองปราบปรามเข้ามาทำ เพราะคู่กรณีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ควรให้ร้อยเวรหรือโรงพักใดมาทำฝ่ายเดียว จังหวะต้องเข้ามาดูแลด้วย เพื่อให้เรื่องวิ่งเต้นยากขึ้น
วันพรุ่งนี้ 13 ก.ค.เวลา 09.30 น ตนจะพาญาติน้องโค้ก เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับตำรวจที่เกี่ยวข้องทุกนาย เพราะเกรงว่าจะไม่ได้ความเป็นธรรมเนื่องจากคนก่อเหตุเป็นตำรวจและแจ้งว่าเป็นอุบัติเหตุทำปืนลั่น ซึ่งญาติมองว่าไม่ใช่แค่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน