วันที่ 20 ก.ค. ที่สำนักงาน กกต.ศูนย์ราชการฯ อาคาร B นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้เดินทางมายื่นคำร้องเพื่อแจ้งหรือชี้เบาะแสให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ใช้อำนาจตาม ม.41 แห่ง พรป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2560 และม.151 แห่ง พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 เพื่อให้มีการสืบสวน หรือไต่สวน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานอันควรสงสัยและเชื่อได้ว่า นายจักรกฤษณ์ ทองศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เขต 7 พรรคภูมิใจไทย ถือครองหุ้นสื่อมวลชนในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 40,000 หุ้น อันเป็นข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ม.98(3) ประกอบ ม.106(6) หรือไม่ อย่างไร
ทั้งนี้สืบเนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พ้นจากตำแหน่ง จำนวน 100 ราย ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. 17 มี.ค.และ 20 มี.ค.66 จำนวน 100 คน เมื่อวันที่ 17 ก.ค.66 ที่ผ่านมา ปรากฎว่านายจักรกฤษณ์ ทองศรี สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกับ ป.ป.ช.ว่า ถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น itv ด้วย 40,000 หุ้น แต่มิได้ระบุมูลค่า และวันเดือนปีที่ได้มา
กรณีดังกล่าว อาจเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ถือครองหุ้นสื่อไอทีวีไว้ 42,000 หุ้น ที่ถูก กกต.ไต่สวนและมีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปก่อนหน้านี้ แต่อาจมีความแตกต่างกันในรายละเอียด เพราะนายจักรกฤษณ์อ้างว่า หุ้นสื่อไอทีวีดังกล่าวของตนได้ยกหุ้นตัวนี้ออกไปให้กับลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่ปี 2561 ก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งปี 2562 แล้ว ส่วนที่ยังมีอยู่ในบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งกับ ป.ป.ช. นั้นอ้างว่าหุ้นไอทีวีหยุดการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่ถูกยกเลิกสัมปทานปี 2561 จึงทำสัญญายกหุ้นให้ลูกพี่ลูกน้องก่อนการเลือกตั้ง เพราะไม่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งเวลาทำหนังสือไปขอให้ตลาดหลักทรัพย์ ออกใบรับรองหุ้น ซึ่งตนมีหุ้นตัวอื่นอยู่ด้วย และจะเห็นชัดเจนว่าไอทีวี 4 หมื่นหุ้นจริง แต่ไม่มีมูลค่า เพราะไม่มีการซื้อขาย และที่สำคัญหุ้นก็คือสังหาริมทรัพย์ สามารถทำหนังสือยกให้ ซึ่งก็ถือว่ามีผลสมบูรณ์แล้ว
คำชี้แจงผ่านสื่อดังกล่าวข้อเท็จจริงเป็นเช่นใดแน่ไม่มีใครรู้ ดังนั้นเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงนำความมาแจ้งหรือชี้เบาะแสให้ กกต.ใช้อำนาจตามกฎหมายในการสืบสวนหรือไต่สวนกรณีดังกล่าวให้ชัดเจน และหากพบว่ามีลักษณะเดียวกันกับนายพิธา ก็ให้ดำเนินการส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้เป็นที่สุดตามครรลองของกฎหมายต่อไป