สืบเนื่องจากผู้เสียหายจำนวนมาก ได้รับข้อความชักชวนร่วมลงทุนทำธุรกิจหารายได้เสริมที่บ้าน โดยมีคนร้ายซึ่งเป็นแอดมินชวนให้ร่วมลงทุนต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เช่น การอ่านโฆษณาของแบรนด์สินค้า ผ่านแอปพลิเคชันชื่อดัง และต้องโอนเงินตามแพกเกจ จากนั้นภายใน 10 นาที จะให้ผลตอบแทนกลับไป
10-20% โดยในช่วงแรกๆ จะได้กำไรจริง แต่เมื่อลงเป็นจำนวนมากแล้ว จะไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ ซึ่งคนร้ายจะหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเพิ่มเข้าบัญชีธนาคารต่างๆ
กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการพล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.ศุภกร ธัญญกรรม ผกก.1 บก.สอท.5, พ.ต.ท.ประชา หงส์พูนพิพัฒน์ , พ.ต.ท.วีระ หอมเย็น รอง ผกก.1 บก.สอท.5 โดย พ.ต.ท.ปริพล นาคลำภา, พ.ต.ต.สุธี บุดดีคำ สว.ฯ กก.1 บก.สอท.5 สืบสวนจนทราบว่าคนร้ายรับซื้อบัญชีมาจากที่ต่างๆ กว่า 127 บัญชี หลายธนาคาร และรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับคนร้ายในขบวนการได้เพิ่มเติม ซึ่งพบว่ามีการกระทำในลักษณะนี้ในแอปพลิเคชันอื่นด้วย โดยคดีนี้มีผู้เสียหายกว่า 50 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 20 ล้านบาท
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนว่า นายมาวิน อายุ 23 ปี บุคคลตามหมายจับ พักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่าพบชายที่มีลักษณะรูปพรรณสัณฐานตรงกับนายมาวิน อยู่บริเวณชั้น 3 อาคารศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ย่านรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พร้อมทั้งแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และแจ้งนายมาวิน ให้ทราบว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” โดยนายมาวินให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และรับว่าตนได้ขายบัญชีให้กับกลุ่มคนร้ายจริง จำนวน 2 บัญชี ได้ค่าตอบแทนบัญชีละ 3,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.5 เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป