“…ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ เปิดแถลงข่าวการเลี่ยงภาษีว่านายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ที่โรงแรมเดอะเดวิส ย่านสุขุมวิท “ชูวิทย์” แฉเพื่อชาติ ว่าที่นายกฯ ทำนิติกรรมอำพรางเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำรัฐสูญเสียรายได้ 521 ล้านบาท เชื่อ ว่าที่นายกฯ รู้เรื่องอย่างดีเพราะเป็นคนรับรองการประชุม และให้แยกโอนที่ดินเป็น 12 วัน ชี้ นายกฯ ต้อง มีความซื่อสัตย์สุจริตตามรัฐธรรมนูญ…”
3 ส.ค.2566 เวลาประมาณ 12.30 น. ที่โรงแรมเดอะเดวิส ย่านสุขุมวิท นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดโต๊ะแถลงข่าวอภิปรายคุณสมบัตินายกฯ คนใหม่ของประเทศไทยจากพรรคเพื่อไทย “มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์หรือไม่?” โดยได้มีการขึ้นภาพบนจอโปรเจคเตอร์ เป็นรูปคล้ายกับโปสเตอร์ภาพยนตร์ ระบุข้อความว่า CHUWICK Series แฉเพื่อชาติ โดยระบุเป็นทั้งหมด 10 Episode
โดยช่วงแรกของการแถลงข่าว นายชูวิทย์ แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า ตนไปโรงพยาบาลในช่วงเช้าเพื่อฉีดคีโม และบอกว่าตัวเองมีเวลาไม่เยอะบนโลกใบนี้ ชีวิตผมเป็นเส้นด้ายและจะเป็นเส้นสุดท้าย และยังระบุด้วยว่า มีความพยายามจะไม่ให้ผมพูดในทุกวิถีทางมีการใส่ร้าย ที่จะไม่ให้นายชูวิทย์พูด ใครจะกระแนะกระแหน พูดไปเลย ตนไม่มีต้นทุน แต่ว่าที่นายกฯ ไปคุกเข่ากับนายทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เมื่อสองสัปดาห์ก่อนว่าจะทำทุกอย่างหากได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
นายชูวิทย์ ได้นำหลักฐานการซื้อขายที่ดินของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่มีว่าที่นายกรัฐมนตรี เป็นอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยเป็นการซื้อขายที่ดินย่านถนนสารสิน ราคากว่า 1,570 ล้านบาท เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นที่ดินตาราวาละ 1 ล้านบาท ที่แพงที่สุดในประเทศไทย แต่มีการประเมินซื้อขายของบริษัทตารางวาละ 4 ล้านบาท ซึ่งมีการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทำให้รัฐขาดรายได้ไปกว่า 521 ล้านบาท โดยทำนิติกรรมอำพรางมีการแบ่งโอนที่ดินทั้งแปลงเป็น 12 วัน และให้มีผู้ซื้อขาย 12 คน โดยมีหลักฐานการโอนที่ดินในวันทำการติดต่อกันทั้ง 12 วัน จากเดิมที่ต้องเสียภาษีหากโอนที่ดินในวันเดียวเป็นเงินกว่า 580 ล้านบาท แต่ทางบริษัทเสียภาษีที่ดินเป็นเงินเพียง 59 ล้านบาท เท่านั้น
นายชูวิทย์ ยังระบุว่า การโอนที่ดินในลักษณะนี้ เป็นการเลี่ยงเสียภาษีในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน หรือ คณะบุคคล เพราะต้องเสียจำนวนเงินเยอะกว่าการแยกจ่ายเป็น 12 วัน และยังเห็นว่ามีความผิดปกติในโฉนดที่ระบุถึงเงินมัดจำค่าที่ดินแต่ละวันไม่ตรงกัน ส่วนใหญ่ใช้เงินสดมากกว่าร้อยละ 50 ในการวางมัดจำ ซึ่งเป็นเงินครั้งละกว่า 200 ล้านบาท เห็นว่าผิดปกติ เพราะเงินจำนวนมากขนาดนี้จะต้องจ่ายด้วยเช็ค แต่ครั้งนี้เป็นเงินสด
นายชูวิทย์ ยังมีหลักฐานการประชุมของบริษัท เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2562 ที่มีมติให้แยกโอนที่ดินรวม 12 วัน โดยมีการลงนามรับรองของว่าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งบริษัทดังกล่าว เป็นบริษัทมหาชน มีฝ่ายกฎหมายที่เชี่ยวชาญ จึงต้องรู้ช่องทางกฎหมายเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหากได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีก็จะมีการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุนต่างๆ เช่นเดียวกับคดีเก่าๆ ของนายทักษิณ ชินวัตร
นายชูวิทย์ ยังระบุว่า บริษัทดังกล่าว ไม่เคยซื้อที่ดินโดยตรงจากเจ้าของ แต่ให้บริษัทในเครือมาซื้อ แล้วก็ทำธุรกรรมอำพรางจนทำให้มีราคาที่ดินสูงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัท เคยมาติดต่อซื้อที่ดินของนายชูวิทย์ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาทมาแล้ว แต่ไม่ขายให้เนื่องจากติดสัญญาซื้อขายกับบริษัทอื่นอยู่ และได้ขายไปให้กับบริษัทดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยที่ยืนยันว่าการที่ออกมาเปิดเผยในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินกับบริษัทดังกล่าว และไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองกับว่าที่นายกรัฐมนตรี แต่เป็นการออกมาพูดเพื่อประโยชน์สาธารณ ที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
หลังจากนี้ก็จะนำเรื่องดังกล่าวส่งให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. กรมสรรพากร และประธานรัฐสภา ตรวจสอบความผิดปกติของการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งถือว่าทำให้รัฐเสียหายกว่า 521 ล้านบาท ต่างจาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้ว่าจะถูกกล่าวหาว่าถือครองหุ้นสื่อ 42,000 หุ้น แต่ยังไม่ทำความเสียหายให้กับประเทศ
นายชูวิทย์ ยังระบุว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ในไทย มักจะหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีนี้ แต่บริษัทนี้ ทำเยอะกว่าบริษัทอื่น จึงไม่เห็นด้วยที่จะเสนอให้ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เห็นว่านายชัยเกษม นิติสิริ ที่มีชื่อเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีความเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมาย และมีอายุมากแล้วคงไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ส่วนนางสาวแพรทองธาร ชินวิตร เห็นว่า ยังมีเรื่องผลประโยชน์เรื่องของการทำทุกอย่างให้นายทักษิณ กลับไทย
เมื่อถามว่าทำไมถึงต้องเป็นคนออกมาแฉ มีปัญหากันหรือไม่ นายชูวิทย์บอกว่า ซึ่งตนไม่ได้โกรธเคืองกับว่าที่นายกรัฐมนตรีคนนี้ แต่พรรคเพื่อไทยเกิดการตระบัดสัตย์ พลิกขั้วตั้งรัฐบาล แล้วเอาเขามาเป็นหุ่นเชิด การที่ตนออกมาพูดเพราะนายกฯ ประเทศไทยต้องมีความซื่อสัตย์ ซึ่งแฉครั้งนี้ยืนยันว่าแฉเพื่อชาติ จะเอาไปยื่นให้กับพรรคก้าวไกล เพื่อพิสูจน์ว่า “ก้าวไกลกล้าไหม” เห็นบอกว่าอยากลดขนาดนายทุนในประเทศ
ส่วนตัวคิดว่าคนที่มีความเหมาะสม ความซื่อสัตย์ มากที่สุดคือนายชัยเกษม เพราะมีความเป็นนักกฎหมาย ซึ่งเดิมทักษิณ หญิงพจมานเลือกนายชัยเกษม แต่ยิ่งลักษณ์ขอไว้
สำหรับการออกมาเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ นายชูวิทย์ ระบุว่า เป็นเพียงเรื่องแรก ยังมีอีก 9 เรื่อง ที่ยังรอการเปิดเผย ซึ่งนายชูวิทย์ได้ตั้งชื่อเรื่องไว้ทั้งหมดแล้วรวม 10 EP.