กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(CIB) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและพฤติมิชอบ
(บก.ปปป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว
ผบก.ปปป.รรท.ผบก.ทล., พ.ต.อ.ประสงค์ เฉลิมพันธ์รอง ผบก.ฯ.รรท.ผบก.ปปป,พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม รอง ผบก.ปปป., พ.ต.อ.อภิชาติ เรนชนะ ผกก.๔ บก.ปปป. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. นำโดย นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้อำนวยการกองปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ๒,
นายสุภาพ ศิริ ผู้อำนวยการกองอำนวยการต่อต้านการทุจริต
ร่วมกันจับกุม ด.ต.ประกอบฯ (อดีตตำรวจ สภ.ตาคลี) อายุ ๕๔ ปี ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและ
ประพฤติมิชอบภาค ๖ ที่ จ.๕๒/๒๕๖๖ ลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๖ ดำเนินคดีในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสียฯ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตฯ”
สถานที่จับกุม หน้าศาลาวัดแห่งหนึ่ง หมู่ ๓ ต.ห้วยร่วม อ.หนวงบัว จ.นครสวรรค์
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ เวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ตาคลี ได้ตรวจสอบพบประตูห้องคลังอาวุธปืนของสถานีตำรวจภูธรตาคลี มีร่องรอยการถูกงัด ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ คณะกรรมการตรวจสอบอาวุธยุทธภัณฑ์ฯ มีหนังสือแจ้ง ด.ต.ประกอบฯ ซึ่งขณะนั้นเป็น
เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลฯ ให้จัดทำบัญชีและจัดเตรียมสิ่งของหลวงเพื่อรอรับการตรวจ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อ
ด.ต.ประกอบฯ ได้และเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ คณะกรรมการตรวจสอบอาวุธยุทธภัณฑ์ฯ จึงได้ทำการ
ตรวจสอบสิ่งของหลวงปรากฏว่ามีทรัพย์สิ่งของหลวงได้สูญหายไป ประกอบด้วย ๑. อาวุธปืนพกลูกโม่แบบ ๙๑
ขนาด .๓๘ นิ้ว S&W จำนวน ๑๓ กระบอก ๒. อาวุธปืนพกแบบ ๙๗ ขนาด ๙ มม. บราวนิงค์ไฮเพาเวอร์ จำนวน
๑ กระบอก ๓. อาวุธปืนพกแบบ ๘๖ ขนาด ๑๑ มม. ยูเอสอาร์มี่ จำนวน ๑ กระบอก ๔. รถจักรยานยนต์แบบ
ชาย รุ่น วิคเตอร์ เอส สีน้ำตาล จำนวน ๓ คัน ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรตาคลี จึงได้แจ้งความร้องทุกข์
ดำเนินคดีกับ ด.ต.ประกอบฯ ผู้ต้องหา ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด
เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย เนื่องจาก
ผู้ต้องหามีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ของหลวง และเมื่อติดตามก็ไม่สามารถติดตามตัวได้ จึงเชื่อว่าผู้ต้องหา ได้เบียด
บังอาวุธปืน และรถจักรยานยนต์ ที่อยู่ในความครอบครองดูแลไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต
ทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ และภายหลังตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก
ซึ่งกรณีดังกล่าวคณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้วินิจฉัยชี้มูล และส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดี
ปราบปรามการทุจริต ๑ ภาค ๖ เพื่อฟ้องคดี และพนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องคดี พร้อมแจ้งให้ สำนักงาน
ป.ป.ท. แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาไปพบพนักงานอัยการ และสำนักงาน ป.ป.ท. ได้มีหนังสือแจ้งให้ดาบตำรวจ ประกอบ
นกลอย ผู้ถูกกล่าวหา ไปพบพนักงานอัยการแล้ว แต่ ดาบตำรวจประกอบฯ ผู้ถูกกล่าวหา ไม่ไปพบพนักงาน
อัยการตามแจ้ง และมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจะหลบหนี ซึ่งกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ
จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่น
เอาทรัพย์นั้นเสีย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ
ทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ มาตรา ๑๔๗ อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือ
ตลอดชีวิต อายุความ ๒๐ ปี มาตรา ๑๕๗ อัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี อายุความ ๑๕ ปีต่อมาจึงได้
ขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค ๖ ออกหมายจับที่ จ.๕๒/๒๕๖๖ ลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม
๒๕๖๖
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. ได้ร่วมกันวางแผนเพื่อจับกุมตัว
ด.ต.ประกอบฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ได้ที่ หน้าศาลาวัดแห่งหนึ่ง หมู่ที่ ๓ ต.ห้วยร่วม อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์
จึงได้แจ้งพฤติการณ์และข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบ นำส่ง อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต ๑ ภาค ๖
เพื่อดำเนินการตากฎหมายต่อไป
จากการสอบถามผู้ต้องหาในชั้นนี้ ให้การภาคเสธ
