เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 20 ก.ย.66 ที่ห้องประชุมสนง.ตร.ภ.2 พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.อิทธิพโพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 พ.ต.อ.ชาตรี สุขศิริ รอง.ผบก.ชลบุรี
พร้อมด้วย ชุดจับกุมนำโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจสากล (INTERPOL) , เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 ได้ร่วมกันแถลงข่าว จับกุมนายสุนทร หรือโต้ง ปิ่นนาค อายุ 33 ปี ในข้อหา “ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิด เพื่อพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม”หลังจากนายสุนทร ได้ก่อเหตุเข้าไปชิงทรัพย์ ในร้านทองออโรล่า สาขาพัทยาใต้
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2565 เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ได้รับแจ้งเหตุว่ามี
คนร้ายใช้อาวุธปืนชิงทรัพย์ร้านทองออโรล่าสาขาโลตัสพัทยา จากการสอบถามพนักงานในร้านให้การว่า คนร้ายเป็น
ชายไทยเดินเข้ามาภายในร้านและขอดูสร้อยคอทองคำหนัก ๓ บาทและเดินไปมาประมาณ 3-4 รอบ ต่อมาได้ควัก
อาวุธปืนออกมาข่มขู่พนักงาน แล้วเดินมารวบถาดทองไปจำนวน 6 ถาด รวมหนัก 34 บาท มูลค่า 1,074,060 บาท ผู้ต้องหามีการวางแผนในการก่อเหตุมาอย่างดี โดยมีการตระเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำผิด โดยเฉพาะอาวุธปืนบีบีกัน ที่นำมาใช้ข่มขู่ให้พนักงานประจำร้านทองหวาดกลัว โดยผู้ต้องหาได้วางแผนเส้นทาง
หลบหนีมาก่อน เนื่องจากเป็นบุคคลในพื้นที่ จึงใช้เส้นทางหลบเลี่ยงตามซอกซอย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้อง
ตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งเส้นทางก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุกว่า 15 ตัว ตลอดเส้นทางกว่า 210 กิโลเมตร
โดยใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบกล้องวงจรปิดกว่า – สัปดาห์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบจุดที่คนร้ายนำเสื้อผ้า
และอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุไปทิ้ง จึงได้ใช้วิธีการสืบสวนภาคพื้นดิน โดยการพิสูจน์ทราบแหล่งที่มาของสิ่งของที่ คนร้ายใช้ก่อเหตุในทุกมิติของการสืบสวน
1.พิสูจน์ทราบ ร้านค้าที่ขายอาวุธปืนบีบีกัน จำนวน 12 ร้าน
2.พิสูจน์ทราบบุคคลที่ครอบครองอาวุธปืนบีบีกัน จำนวน 35 คน
3.พิสูจน์ทราบ ร้านค้าที่ขายเสื้อผ้าที่คนร้ายใช้ จำนวน 15 แห่ง
4.พิสูจน์ทราบ บุคคลที่ลายนิ้วมือแฝง ใกล้เคียงกับคนร้าย จำนวน 20 คน
จากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ทำให้ทราบว่าคนร้ายที่ ก่อเหตุในคดีนี้ คือ นายสุนทร
หรือโต้ง ปั่นนาค จึงขออนุมัติศาลจังหวัดพัทยา ออกหมายจับนายสุนทรฯ ในข้อหา -“ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดเพื่อพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจาก
การจับกุม”
โดยนายสุนทร ถูกขึ้นบัญชีเป็นบุคคลตามปฏิหินหมายจับสำนักงานตำรวจแห่งชาติลำดับที่ 50 ที่มี
รางวัลนำจับ 80,000 บาท
ต่อมาได้สืบทราบว่านายสุนทร หลบหนี ไปยังประเทศเกาหลีใต้ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค.65 และสิ้นสุด
การอนุญาตให้อยู่ในประเทศเกาหลีใต้ถึงวันที่ 8 มี.ค. 2566 โดยลักลอบไปประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมบ้านที่เมืองโพชอน มีพฤติการณ์ที่จะไม่ยอมกลับมารับโทษที่ประเทศไทย
จึงได้ขออนุมัติต่อองค์การตำรวจอาชญากรรม
ระหว่างประเทศหรือตำรวจสากล(INTERPOL) เพื่อออกหมายแดง (Red Notice) ที่ A-๒๗o/๑-๒๐๒๓ ลงวันที่ 10
ม.ค. 2566 ในทันที โดยทางตร.สืบสวนภ.2 ได้ประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่
ประจำการอยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐเกาหลี และตำรวจสากลของประเทศเกาหลีใต้
เพื่อร่วมกันสืบสวนจับกุมคนร้ายพบว่านายสุนทรได้ไปลักลอบรับจ้าง
ทำสวนและทำโรงปลูกผักปลอดสารพิษ ที่ตำบลโซวอน อำเภอแทอัน จังหวัด ชุงชองใต้ อยู่ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลีใต้
ต่อมา เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2566 ตำรวจเกาหลีใต้จึงได้จับกุมตัวนายสุนทร รับสารภาพว่าตนเองได้ พยายามหลบหนีเนื่องจากกระทำความผิดมาจากประเทศไทย และแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าขอเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อไปเข้า
สู่กระบวนการทางกฎหมายที่ประเทศไทย ด้วยความสมัครใจ เจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้จึงได้จับกุมผู้ต้องหาไว้ด้วย
ความผิดตามกฎหมายคนเข้าเมืองของเกาหลีใต้ และได้ดำเนินการผลักดันกลับประเทศไทยตามความผิดดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยประจำเกาหลีใต้จึงได้ประสานมาที่ ผบช.ภ.2 ซึ่งได้ส่ง ตร.สืบสวนภ.2 จำนวน 2 นาย เดินทางไปรับตัวนายสุนทร ผู้ต้องหาที่ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อมาดำเนินคดี
สำหรับการจับกุมตัว นายสุนทร ปิ่นนาค ผู้ต้องหาคดีชิงทรัพย์ร้านทองออโรล่าสาขาพัทยาใต้ ในครั้งนี้ ถือ
เป็นการจับกุมผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ ซึ่งคดีอุกฉกรรจ์ คือคดีที่มีความผิดและอัตราโทษร้ายแรง เช่น คดีฆ่าผู้อื่นโดย
เจตนา, ปลันทรัพย์, ชิงทรัพย์, ลักพาเรียกค่าไถ่ และวางเพลิง
พล.ต.ท.อิทธิพล กล่าวว่า ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 ถึง 30 ก.ย. 2566 เกิดคดีอุกฉกรรจ์ขึ้นในพื้นที่ตร.ภ.2 ทั้งหมด 169 คดี สามารถจับกุมได้ทั้งหมด 169 คดี
คิดเป็นผลการจับกุม 100 % ตร.ภ. 2 ฝากเตือนไปยัอาชญากรที่คิดจะมาก่อเหตุในพื้นที่ยังไงก็หนีไม่พ้นฝีมือตร.ที่นี่ ผลงาน
ที่ผ่านสามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ 100%
ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐเกาหลี และ
องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (INTERPOL) จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาคดีสำคัญในครั้งนี้