รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต และประธานกรรมการคณะอาชญวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต ระบุว่า หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชวิทยานั้น จะสามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้แน่ โดยเฉพาะจีพีเอส และโปรแกรมที่ติดมากับเรือสปีดโบ๊ต ไม่มีใครแก้ไขได้ ยันตำรวจบอกหลักฐานไว้แล้ว ชี้การตายของแตงโม มี 3 องค์ประกอบ ด้าน ทนายตั้ม พูดชัดคดีนี้มี 2 คน มีความผิดฐานประมาท โทษสูงสุด 10 ปี ปรับ 2 แสน หวั่นมีกลไกพิเศษ ทำให้เหลือผู้กระทำผิดเพียงคนเดียวเพราะให้ปากคำมัดตัวเอง ส่วน “กระติก” ไม่มีความผิดทางคดีอาญา ด้านทนายนิด้า แจงคดีนี้เป็นอุบัติเหตุจากตัวคนอื่น ทำให้แตงโมเสียชีวิต
จากกรณีการเสียชีวิตของ “แตงโม” นิดา พัชรวีระพงษ์ ดาราสาวจากการตกเรือสปีดโบ๊ตในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีเงื่อนงำพิรุธจนกลายเป็นกระแสติดตามอย่างมากในสังคม ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นน่าสนใจมากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ข้อมูลหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และทางนิติเวช ที่จะเป็นน้ำหนักพยานหลักฐานมัดตัวผู้กระทำผิดได้ดีที่สุด
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการ คณะอาชญวิทยา และการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้ไม่มีใครรู้ดีเท่าทั้ง 6 คนที่มาด้วยกัน เมื่อ 1 ใน 6 เสียชีวิต ก็ต้องใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และนิติเวชอธิบายสิ่งเหล่านี้ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่น เช็กโทรศัพท์ของคุณแตงโม เช็กโทรศัพท์ติดต่อของกลุ่มเพื่อนที่ไปด้วยกัน ต้องตรวจลายนิ้วมือแฝงและดีเอ็นเอที่ปรากฏในคราบต่างๆ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ เช่น ลายนิ้วมือบนพวงมาลัย หากบอกว่ามีการปัสสาวะก็ต้องดูว่ามีคราบปัสสาวะอยู่บนเรือบ้างไหม และนำไปพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์
หรือสมมติว่าคนขับเรือบอกว่าตอนแตงโมตกน้ำเขาไม่ได้ขับเรือเร็วเลย ตรงนี้สามารถตรวจสอบได้โดยใช้จีพีเอสที่ติดมากับเรือ และโปรแกรมที่สามารถเช็กกับคอมพิวเตอร์ของเรือได้ อันนี้เป็นสิ่งที่แก้ไขข้อมูลไม่ได้โดยข้อมูลจีพีเอสจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกจีพีเอสจะเช็กโลเกชั่น ตำแหน่งและทิศทางของเรือที่ไป โดยเช็กผ่านระบบดาวเทียม ส่วนที่ 2 คือการเช็กความเร็วของเรือ ซึ่งเท่าทื่ทราบผู้เชี่ยวชาญของบริษัทที่ผลิตเรือบอกว่ามีโปรแกรมที่สามารถถอดความจากซอฟต์แวร์ได้ว่าความเร็วของเรือในช่วงเวลาที่เกิดเหตุมีความเร็วเท่าไหร่กันแน่ ซึ่งจากเมื่อวานที่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าตอนนี้ตำรวจมีข้อมูลดังกล่าวแล้ว
อีกทั้งกรณีที่เพื่อนในเรือบอกว่าเรือแล่นมาไม่เร็วนั้น ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าเรือที่ขับตามความเร็วจะเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ซึ่งการที่เพื่อนจะไปปัสสาวะท้ายเรือ ในขณะที่เรือแล่นอยู่ตามคำให้การของพยานนั้นถามจริงๆ ว่าไม่มีใครทักท้วงเลยหรือว่ามีความเสี่ยง ซึ่งโดยตรรกะน่าจะมีการตักเตือนกัน อย่าว่าแต่ไปนั่งปัสสาวะเลย แค่ไปยืนถ่ายรูปบริเวณนั้นขณะเรือแล่นวิญญูชนทั่วไปก็ต้องรู้แล้วว่ามีความเสี่ยง ที่สำคัญไม่มีการใส่ชูชีพ
“นอกจากทั้ง 5 คนแล้ว ไม่มีใครอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ลบล้างไม่ได้ เพราะนี่คือความจริง”
ส่วนกรณีที่มีคนสงสัยว่าการคุยแชตไลน์ในโทรศัพท์สามารถสร้างหลักฐานปลอมขึ้นได้หรือไม่นั้น หากเป็นการใช้ไอโฟนเท่าที่ทราบเทคโนโลยีซอฟต์แวร์สามารถดูดข้อมูลจากเครื่องได้โดยตรง แม้จะมีการสร้างไลน์ปลอมก็ตาม
“ตำรวจมีเครื่องมือที่ไปดูดข้อมูลออกมาได้ ซึ่งจะเห็นรายละเอียดว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มีการถ่ายรูปที่ไหน เวลาใด มีการแชร์ไว้ด้วย จะบอกหมด ซึ่งตรงนี้จะไปแก้ไขข้อมูลไม่ได้ ที่เกรงกันว่ามีการสร้างไลน์ปลอมก็สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเชื่อว่าคดีนี้คงมีการตรวจสอบเรื่องนี้เช่นกัน”
อย่างไรก็ดี คดีนี้ความยากอยู่ที่ร่องรอยพยานหลักฐาน โดยเฉพาะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่บางอย่างไม่สามารถจะคงไว้ได้เหมือนเดิมเพราะโดยหลักสากลแล้วหลังจากเกิดเหตุใหม่ๆ ต้องคงสภาพของสถานที่เกิดเหตุซึ่งในที่นี้คือ เรือสปีดโบ๊ตไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ร่องรอยหลักฐานยังคงอยู่ เช่น รอยนิ้วมือแฝงตรงพวงมาลัย ถ้าบอกว่า นาย ก. เป็นคนขับเรือ แต่พวงมาลัยกลับมีลายนิ้วมือแฝงของ นาย ข. มันจะอธิบายว่าจริงๆแล้วใครเป็นคนขับเรือ แต่กรณีนี้ช่วงแรกหลังเกิดเหตุ เรือถูกนำไปที่อู่และผู้เกี่ยวข้องแยกย้ายกันไป
“ความยากจึงอยู่ตรงนี้ จริงๆ แล้วหลังเกิดเหตุทั้ง 5 คนควรให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งหากพนักงานสอบสวนเป็นมืออาชีพฟังปุ๊บเขาจะรู้เลยว่าเหตุการณ์ที่คนทั้ง 5คนเล่ามา ปกติหรือไม่ปกติ”
สำหรับผลตรวจดีเอ็นเอคงต้องรอผู้เชี่ยวชาญ คิดว่าผลตรวจถ้าพบคราบปัสสาวะก็จะนำไปตรวจหาดีเอ็นเอว่าหาเจอไหม ถ้าเจอจะรู้ว่าใช่ปัสสาวะของแตงโมหรือเปล่า หากดีเอ็นเอเป็นของแตงโมก็แปลว่า แตงโมปัสสาวะบริเวณนั้นจริง อย่างไรก็ดี ถ้าไม่เจอดีเอ็นเอก็ไม่ได้หมายความว่าแตงโมไม่ได้ปัสสาวะ แต่อาจจะเป็นเพราะโดนน้ำในแม่น้ำชะล้างไป หรือถูกเช็ดทำความสะอาดไปแล้ว
“พยานหลักฐานที่ปรากฏหลังเกิดเหตุใหม่ๆ จะแตกต่างจากพยานหลักฐานหลังเกิดเหตุไประยะหนึ่งแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่โอกาสที่หลักฐานในที่เกิดเหตุจะถูกปนเปื้อนยิ่งมีมากขึ้น ซึ่งห่วงโซ่ของการเก็บพยานหลักฐาน หรือ chain of custody จะเป็นช่องโหว่ให้จำเลยเอาไปต่อสู้ในชั้นศาลโดยหลักสากลถ้าในคืนนั้นทั้ง 5 คนไปพบตำรวจ มีการสอบปากคำพยานทุกคนไว้ ทุกคนให้การยังไงก็ตาม ถ้ามีคนบอกว่าท้ายเรือเป็นจุดที่คุณแตงโมตก ตำรวจจะขอเอาเรือไว้ตรวจสอบก่อนโดยให้ผู้เชี่ยวชาญไปตรวจสอบ และเก็บรายละเอียดหลักฐานบริเวณนั้นทั้งหมด”
แต่คดีนี้หลังเกิดเหตุมีการเอาเรือเขาอู่และทราบมาว่ามีคนเข้ามาเช็ดถูทำความสะอาดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว ดังนั้น พยานหลักฐานก็เกิดการปนเปื้อนไปแล้ว การตรวจพิสูจน์จึงทำได้ยากมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ถ้าเกิดเหตุที่ไม่ปกติขึ้น แน่นอนว่าคนที่เกี่ยวข้องย่อมมีเจตนาที่จะกลบเกลื่อนพยานหลักฐานได้
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ไม่ปกติหลายอย่าง คือ
- บุคคลที่อยู่บนเรือทั้งหมดไม่ได้ให้การต่อพนกงานสอบสวนตั้งแต่แรก
- หลังเกิดเหตุมีการนำเรือไปเก็บที่อู่ทันที
- หลังเกิดเหตุทั้ง 5 คนหายไปเกือบ 24 ชั่วโมง จึงออกมาพบพนักงานสอบสวนและตอบคำถามสื่อ
- การเดินไปปัสสาวะท้ายเรือของแตงโมมี่ความผิดปกติ สังคมตั้งคำถามว่าเป็นไปได้หรือ ทั้งจุดที่นั่งปัสสาวะ ชุดที่สวมใส่ซึ่งการแหวกเพื่อปัสสาวะน่าจะลำบาก ถ้าแตงโมเอามือจับขาทั้งสองข้าง แตงโมจะแหวกบอดี้สูทได้อย่างไร
อีกทั้งแซนยังให้การว่าเขาไม่รู้ว่าแตงโมตกไปแล้ว จนได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่ในความเป็นจริงตอนแตงโมปล่อยมือออกจากขาแซนจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร
“ปกติแมลงวันมาเกาะเรายังรู้ตัวเลย นี่มือสองข้างเลยนะ อีกทั้งแตงโมเป็นผู้หญิง และผู้ชายที่อยู่บนเรือก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน จะกล้าไปปัสสาวะท้ายเรือทั้งที่เรือไม่ใหญ่มากหรือ ส่วนเรื่องวงเงินประกันชีวิตจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุหรือไม่ ตำรวจต้องเข้าไปสืบสวนเช่นกัน”