จากกรณีเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีการเผยแพร่กันในวงกว้าง ถึงคลิปเตือนภัยมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่งเครื่องแบบวิดีโอคอลกับผู้เสียหาย อ้างว่าตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน แต่ผู้เสียหายรู้ทัน มิจฉาชีพจึงขู่ว่าจะทำการอายัดบัญชีทางการเงินทั้งหมด ก่อนจะวางสายไปนั้น พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) และ พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. เร่งติดตามจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขบวนการดังกล่าวโดยเร็ว
ล่าสุด พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 สั่งการตำรวจไซเบอร์ สอท.3 จับกุมหนึ่งในผู้ต้องหา หลังพบว่าเดินทางจากประเทศกัมพูชาเข้ามากบดานในประเทศไทย ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมา พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 ได้นำกำลังสืบสวนจับกุม นาย เมธาพร หนึ่งในผู้ต้องหาขบวนการดังกล่าว โดยจับกุมได้ที่หน้าบ้านพัก หมู่ 1 ต.หลักเขต อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2565 น.ส.นลินี ผู้เสียหายซึ่งทำงานในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ได้รับโทรศัพท์จากมิจฉาชีพ แนะนำตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี อ้างว่ามีคนนำเอกสารผู้เสียหายปลอมแปลงเช่ารถยนต์ และเปิดบัญชี และแจ้งว่าผู้เสียหายเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการขนย้ายยาเสพติดและฟอกเงิน ให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชันไลน์ ใช้ชื่อว่า “สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี” ก่อนแล้วหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงิน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินไปในบัญชีที่มิจฉาชีพเตรียมไว้ จำนวน 500,000 บาท จากนั้นมิจฉาชีพหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น ใช้ชื่อว่า “DSI ปลอดภัย” ทำให้สามารถควบคุมโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายได้ แล้วทำการโอนเงินไปหมดบัญชี รวมมูลค่าความเสียหาย 3,291,971.80 บาท ซึ่งเป็นเงินที่เป็นมรดก และเงินฌาปนกิจที่คุณพ่อพึ่งเสียชีวิต เมื่อเดือน พฤษภาคม 2565 และเงินทุนวิจัยในการศึกษาโครงการวิจัยเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ ผู้เสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับคนร้ายตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
พ.ต.อ.อภิรักษ์ กล่าวว่า จากการสอบสวน นายเมธาพร ผู้ต้องหา รับสารภาพว่าทำหน้าที่เป็นคอลเซ็นเตอร์สายที่ 1 ใช้ระบบการโทรสุ่มอัตโนมัติโทรศัพท์ทำหน้าที่พูดคุยหลอกลวงผู้เสียหาย โดยจะแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี อ้างว่ามีคนปลอมเอกสารส่วนตัวของผู้เสียหายไปเช่ารถยนต์ โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขบวนการนี้ มีสำนักงานอยู่ในประเทศกัมพูชา จากการสืบสวนทราบว่ามีผู้ร่วมขบวนการทั้งสิ้น 28 ราย แบ่งหน้าที่กันทำ โดยมีหัวหน้าแก๊งเป็นคนจีน ทำหน้าที่สั่งการ จ่ายเงินเดือน บริหารควบคุมดูแลการทำงานของคอลเซ็นเตอร์ , ล่าม , พนักงานคอลเซ็นเตอร์ สาย 1 – 3 , พนักงานฝ่ายเอกสาร , ผู้แสดงเป็นตำรวจวีดีโอคอลกับเหยื่อ และผู้เปิดบัญชีรับโอนเงิน โดยก่อนหน้านี้ตำรวจไซเบอร์ บก.สอท.3 ได้ดำเนินการสืบสวนจับกุมได้แล้วรวม 13 ราย และจับกุม นายเมธาพร รายล่าสุด รวมเป็น 14 ราย ซึ่งอีก 14 รายที่เหลือ จะเร่งติดตามจับกุมมาดำเนินคดีโดยเร็วต่อไป
ทั้งนี้ หากประชาชนเป็นผู้เสียหายสามารถแจ้งได้ที่สายด่วน บช.สอท.1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com