นายพูลเดช กรรณิการ์ นักวิชาการอิสระ อดีตที่ปรึกษาการเมือง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้ความเห็นถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้เป็น องคมนตรี ว่า ก่อนอื่น ขอแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างยิ่ง ถือเป็นเกียรติสูงสุดของ พล.อ.ประยุทธ์และครอบครัว ผมเชื่อว่าด้วยประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมามากมายยาวนาน ทั้งในฐานะทหาร และโดยเฉพาะในฐานะนายกรัฐมนตรีถึง 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถใช้ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ ทำงานในฐานะองคมนตรีได้เป็นอย่างดี สมกับที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย
นายพูลเดช ให้ความเห็นต่อไปว่า แต่หากมองในทางการเมือง การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไปเป็นองคมนตรี ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพ้นจากการเมืองไปโดยปริยาย เนื่องจากตำแหน่งองคมนตรีไม่สามารถเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ ปิดฉากการเป็นนักการเมืองลงอย่างเป็นทางการ
“การยุติบทบาททางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ส่งผลต่อการเมืองอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีมายาวนาน ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกจากการทำปฏิวัติเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองจากการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 จนกระทั่งสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2566 การที่เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างยาวนาน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีบารมีทางการเมืองสูงกว่านักการเมืองคนใด และมีขุมกำลังทางการเมืองรวมถึงประชาชนที่ชื่นชอบสนับสนุนจำนวนไม่น้อย ดังจะเห็นได้จาก แม้จะมีรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน แล้ว แต่ก็ยังมีผู้สนับสนุนและหวังอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ออกมาส่งเสียงระลึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ตลอดมา”
“การยุติบทบาททางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ มองด้านหนึ่ง ส่งผลต่อการเมือง ทำให้เกิด “สุญญากาศขั้วอำนาจ” เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกมองว่า เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากกองทัพและมีกองทัพสนับสนุน และเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำให้ขาดผู้นำทางการเมืองในขั้วนี้ และยังมองไม่เห็นใครที่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นผู้นำในขั้วนี้เท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์” นายพูลเดช วิเคราะห์
นายพูลเดช วิเคราะห์ต่อไปว่า แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง กลับพบว่า การยุติบทบาททางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ส่งผลทำให้เกิด “การสลายขั้ว” โดยอัตโนมัติ ไม่มีการเมืองสองขั้วอีกต่อไป ไม่มีความขัดแย้งสองขั้วอีกต่อไป ไม่มีใครใช้การเมืองสองขั้วเพื่อประโยชน์ตนอีกต่อไป และไม่มีใครนำสถาบันพระมหากษัตริย์ไปเป็นความขัดแย้งทางการเมืองได้อีกต่อไป บ้านเมืองเดินหน้าเข้าสู่ยุคของความสงบสุข
“ลิขิตฟ้า คนย่อมมิอาจล่วงรู้” นายพูลเดช กล่าวทิ้งท้าย