“….คดีนี้มีการกระทำความผิดกฏหมายป้องกันการทรมานฯ ด้วย ในมาตรา 7 หากเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเอาตัวบุคคลไป แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หรือปกปิดชะตากรรมหรือสถานที่ควบคุมตัวบุคคลนั้น ทำให้บุคคลนั้นไม่ได้รับการคุ้มครอง ถือว่าเจ้าหน้าที่รัฐนั้นกระทำผิด “ฐานกระทำให้บุคคลสูญหาย มีโทษจำคุกถึง 15 ปี ซึ่งนายอำเภอและอัยการจังหวัด มีหน้าที่สอบสวนดำเนินคดีทันทีที่ทราบว่ามีการกระทำผิด สำหรับผู้บังคับบัญชา เมื่อทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิดแล้วไม่ดำเนินการตามกฏหมาย จะมีความผิดตามมาตรา 42 มีความผิด เช่นกัน โดยต้อง รับโทษกึ่งหนึ่ง ซึ่งการโยกย้ายไม่นับว่าเป็นการลงโทษหรือการดำเนินคดีตามกฏหมายนะท่านผู้บัญชาการ ..เดี๋ยวจะมีความผิดไปด้วยนะเธอ…”
จากกรณีที่เพจสายไหมต้องรอด พาพีอาร์สาวพร้อมแฟนหนุ่ม แจ้งจับ 7 ตำรวจชุดสืบสวน บก.ภ.จว.ปทุมธานี รีดเงิน 3 แสนบาทแลกกับเปลี่ยนข้อหาครอบครองยาเสพติดเป็นเสพ และยังมี 1 นาย ขอค่าตอบแทนการเข้าไปเจรจากับนายด้วยการพาเข้าโรงแรมข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ แถมตบทรัพย์ไปอีก 3 หมื่น
โดยเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.ประพันธ์ เรืองสุวรรณ์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ เพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดปทุมธานี จำนวน 7 นาย ซึ่งเข้าจับกุมผู้เสียหายพร้อมแฟนหนุ่ม โดยพบยาเคจำนวนหนึ่ง พร้อมกับยื่นข้อเสนอติดสินบนเจ้าพนักงานเป็นเงินจำนวน 360,000 บาทเพื่อแลกกับการ เปลี่ยนจากครอบครองเป็นเสพ พร้อมทั้งพาหญิงสาวผู้เสียหายเข้าโรงแรมโดยอ้างว่าเป็นการเคลียร์กับนายเพื่อปล่อยตัว
โดยพฤติการณ์ PR สาว แจ้งว่า ตนพร้อมแฟนหนุ่ม ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการสืบสวนสอบสวนภูธรจังหวัดปทุมธานี (กก.สส.ภ.จว. ปทุมธานี) จำนวน 7 นาย เข้าจับกุมข้อหาครอบครองยาเคตามีนเพื่อเสพ หลังจับกุมมีการนำตัวผู้เสียหายและแฟนมาที่ กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี โดยแยกห้องทำการสอบปากคำ จากนั้นชุดสืบสวนได้ขอตรวจสอบโทรศัพท์ผู้เสียหายแต่ไม่พบความผิดปกติ พบเพียงเงินในบัญชีธนาคาร 360,000 บาท เมื่อชุดจับกุมเห็นว่ามีเงิน จึงใช้วิธีข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีกับผู้เสียหายและแฟนโดยอาจจะต้องโทษจำคุกและถูกยึดทรัพย์ แต่หากไม่อยากติดคุกไม่อยากถูกยึดทรัพท์ ให้เครียร์เงินชุดจับกุมจำนวน 300,000 บาท เพื่อแลกกับการเปลี่ยนข้อหาครอบครองยาเค เป็นข้อหาครอบครองยาบ้า 2 เม็ด จากนั้นชุดจับกุมได้พาผู้เสียหายไปตระเวนกดเงินที่ตู้ ATM ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จนครบ 300,000 บาท
ระหว่างเดินทางนำเงินไปแบ่งกันที่ กก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี 1 ในชุดจับกุม ได้แจ้งกับผู้เสียหายว่าตนเป็นคนเจรจากับนายให้ ตนจะได้อะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ผู้เสียหายจึงตอบไปว่า ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วเงินก็กดให้ไปจนหมดแล้ว ตำรวจคนดังกล่าวจึงแจ้งว่างั้นต้องร่วมหลับนอนด้วยเพื่อเป็นค่าคุยกับนาย จากนั้นตำรวจคนดังกล่าวได้บังคับพาผู้เสียหายเข้าไปข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านรังสิต หลังจากข่มขืนเสร็จ ได้บังคับเอาเงินจากผู้เสียหายไปอีก 30,000 บาท ก่อนพาผู้เสียหายกลับมาที่ กก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี จากนั้นชุดจับกุมได้พาแฟนผู้เสียหายไปส่งตัวดำเนินคดีที่ สภ.ธัญบุรี ข้อหาครอบครองยาบ้า 2 เม็ด
หลังจากแฟนผู้เสียหายได้ประกันตัวออกมา 2 สัปดาห์ แฟนสังเกตเห็นผู้เสียหายมีอาการผิดปกติ ไม่ค่อยพูดจา ตั้งแต่หลังเกิดเหตุ แฟนจึงได้พยายามเค้นสอบถาม จึงรู้ความจริงว่า นอกจากเสียเงิน 330,000 บาทแล้ว ยังถูกตำรวจชุดจับกุมข่มขืนด้วย จึงเข้าไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รู้จักกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแนะนำให้มาขอความช่วยเหลือจาก นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย / ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ดังกล่าว
ล่าสุด พล.ต.ท. จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี มีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี (ศปก.ภ.จว.ปทุมธานี) แล้ว นอกจากนี้ได้มีการดำเนินการทางวินัย โดยให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และหากพบว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริง จะพิจารณาโทษทางวินัยและดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิดทุกราย ซึ่งตำรวจทั้ง 7 นายนั้น มีตำแหน่ง ร.ต.ต.เป็น รอง สว.สส.กองบังคับการจังหวัดปทุมธานี ที่เหลือเป็นลูกน้อง เป็นดาบตำรวจ จ่าตำรวจ นายสิบตำรวจ
ด้านพนักงานสอบสวน สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ก็ได้มีการนัดสอบปากคำเพิ่มเติม
ทางด้าน พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจเปิดเผยว่า คดีนี้มีการกระทำความผิดกฎหมายป้องกันการทรมานฯ ด้วย ในมาตรา 7 หากเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเอาตัวบุคคลไป แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หรือปกปิดชะตากรรมหรือสถานที่ควบคุมตัวบุคคลนั้น ทำให้บุคคลนั้นไม่ได้รับการคุ้มครอง ถือว่าเจ้าหน้าที่รัฐนั้นกระทำผิด “ฐานกระทำให้บุคคลสูญหาย” มีโทษจำคุกถึง 15 ปี ซึ่งนายอำเภอและอัยการจังหวัด มีหน้าที่สอบสวนดำเนินคดีทันทีที่ทราบว่ามีการกระทำผิด
โดย พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า ‘เด้ง’ อีกแล้วครับท่าน นายกฯ และ ผบ.ตร. ว่าไง! ทำไมไม่สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน?
ผู้บังคับบัญชากลัวจะถูก “ย้อนศร” เอาใช่หรือไม่!? “แก๊งค์ตำรวจโจร” ปทุมธานี จับ ‘พีอาร์สาว’
ไปขังดั่ง ‘รังโจร’ รีด สามแสน พาตระเวณ กดเงินจนหมดบัญชี ขอมีเซ็กซ์แลกอิสรภาพ!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาระของกฏหมาย เพื่อป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในระหว่างควบคุมตัวผู้ต้องหา หากเจ้าหน้าที่ของรัฐเอาถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาทำให้ขาดอากาศหายใจ เพื่อให้สารภาพ เพื่อให้ข้อมูล หรือเพื่อรีดไถทรัพย์สิน การกระทำดังกล่าวถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของการทรมาน (torture) และหากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐลักพาตัวบุคคลใดไป แล้วต่อมามีญาติมาตามหา เจ้าหน้าที่ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เอาตัวไป หรือยอมรับว่าเอาตัวไปแต่ปกปิดชะตากรรมหรือสถานที่อยู่ของบุคคลนั้น การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำให้บุคคลสูญหาย (enforced disappearance)
สำหรับผู้บังคับบัญชา เมื่อทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิดแล้วไม่ดำเนินการตามกฏหมาย จะมีความผิดตามมาตรา 42 ผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่รัฐ หากทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนจะกระทำผิดหรือได้กระทำความผิดตามกฎหมายฉบับนี้ ไม่ห้ามหรือป้องกัน หรือระงับการกระทำผิด หรือไม่ส่งตัวเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดไปดำเนินคดี ผู้บังคับบัญชานั้นมีความผิด เช่นกัน โดยต้อง รับโทษกึ่งหนึ่ง
การโยกย้ายไม่นับว่าเป็นการลงโทษหรือการดำเนินคดีตามกฏหมายนะท่านผู้บัญชาการ ..เดี๋ยวจะมีความผิดไปด้วยนะเธอ!!!