กมธ.ศึกษาผลกระทบหวั่นควบรวมสื่อสารเจริญรอยตาม เผยขวบปีแล้วยังไม่มีการติดตามเงื่อนไขก่อนควบรวม
“…จากการชี้แจงของ กขค.ทำให้เห็นว่า กรณีอนุมัติควบรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งของคณะกรรมการ กขค.ก่อนหน้านี้ มุ่งพิจารณาในมิติของกฎหมายเท่านั้น ส่วนในแง่พฤติกรรมแทบไม่ได้พิจารณาใด ๆ เลย นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติยังมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอย่างเช่น กรณีที่บริษัทลงไปเปิดร้านสะดวกซื้อในย่านที่มีแฟรนไชส์ซีเปิดให้บริการอยู่แล้ว จนทำให้แฟรนไชส์ซีต้องปิดกิจการไป หรือแม้กระทั่งสินค้าที่ขายอยู่ในธุรกิจค้าปลีกค้าส่งก็ครอบคลุมหมดจนไม่เหลือพื้นที่ให้คนตัวเล็กหรือเอสเอ็มอีเข้ามา เราถึงกับต้องต้องตั้งคำถาม คณะกรรมการ กขค.ทั้ง 7 คนไม่คิดถึงผลกระทบในภาพใหญ่แบบนี้เลยหรือ…”
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีควบรวมกิจการโทรคมนาคม ระหว่างทรู-ดีแทคและการค้าปลีก-ค้าส่ง สภาผู้แทนฯน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีควบรวมกิจการโทรคมนาคม ระหว่างทรู-ดีแทคและการค้าปลีก-ค้าส่ง สภาผู้แทนฯ ชี้แจงความคืบหน้าการศึกษาผลกระทบกรณีควบรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งระหว่าง ซีพี.และเทสโก้ โลตัสว่า จากการที่กรรมาธิการฯ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า(กขค.) มาชี้แจง เกณฑ์ในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตการควบรวมกิจการ พบว่า 7 เงื่อนไขสำคัญที่คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กชค.).กำหนดเอาไว้ยังขาดความรัดกุม และเกณฑ์ที่คณะกรรมการพิจารณานั้นยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ
ทั้งนี้ กรรมาธิการฯ มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอีก 4 ประเด็นที่จำเป็นต่อการพิจารณาคือ
1.ความจำเป็นในการควบรวมกิจการ
2.เมื่อควบรวมแล้วเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการประกอบธุรกิจหรือไม่
3.เมื่อควบรวมแล้วไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง
และ 4.จะไม่กระทบผลประโยชน์ของผู้บริโภค
นอกจากนี้กรรมาธิการฯ ยังได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมในเรื่องการติดตามและมอนิเตอร์เงื่อนไขก่อนการควบรวมของ กขค.อย่างการมอนิเตอร์ 1 ปีภายหลัง กขค.อนุมัติควบรวมไปแล้ว กขค.ได้ประชาสัมพันธ์ ติดตามหรือไม่ว่า มาตรการและเงื่อนไขที่กำหนดไป เป็นเป็นไปตามที่กำหนดไว้หรือไม่ มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอะไรหรือไม่ มีการกำกับดูแลมาตรการอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ หรือเงื่อนไขการส่งเสริมกิจการเอสเอ็มอีให้เติบโตปีละ 10% เป็นจริงหรือไม่ “ทาง กขค.ได้ชี้แจงว่าอยู่ระหว่างการมอนิเตอร์และรวบรวมข้อมูลว่ามาตรการและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ดำเนินการไปมีความคืบหน้าถึงไหน”
ศ.กนก วงศ์ตระหง่าน กรรมาธิการฯ
ด้าน ศ.กนก วงศ์ตระหง่าน กรรมาธิการฯ กล่าวเสริมว่า จากการชี้แจงของ กขค.ทำให้เห็นว่า กรณีอนุมัติควบรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งของคณะกรรมการ กขค.ก่อนหน้านี้ มุ่งพิจารณาในมิติของกฎหมายเท่านั้น ส่วนในแง่พฤติกรรมแทบไม่ได้พิจารณาใด ๆ เลย ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้เกิดประเด็น ดราม่าต่างๆตามมา อย่างในเรื่องของการห้ามควบรวมกิจการกันเพิ่มเติมในระยะ 3 ปีได้ก่อเกิดคำถาม ทำไมต้องเป็น 3 ปี ทำไมไม่เป็น 5 – 10 ปีอย่างในบางประเทศ และยังมีข้อยกเว้นให้แก่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ออนไลน์เพิ่มเข้ามาอีก
นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติยังมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอย่างเช่น กรณีที่บริษัทลงไปเปิดร้านสะดวกซื้อในย่านที่มีแฟรนไชส์ซีเปิดให้บริการอยู่แล้ว จนทำให้แฟรนซีต้องปิดกิจการไป หรือแม้กระทั่งสินค้าที่ขายอยู่ในธุรกิจค้าปลีกค้าส่งก็ครอบคลุมหมดจนไม่เหลือพื้นที่ให้คนตัวเล็กหรือเอสเอ็มอีเข้ามา “เราถึงกับต้องต้องตั้งคำถาม คณะกรรมการกขค.ทั้ง 7 คนไม่คิดถึงผลกระทบในภาพใหญ่แบบนี้เลยหรือ”
ศ.กนก กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ทางกรรมาธิการฯ เราจะติดตามต่อไปก็คือ เรื่องของราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงอย่างไร กระทบผู้บริโภคอย่างไร ต้องเอาข้อมูลออกมาดูกันจริง ๆ มีกี่รายได้ประโยชน์ “อย่างสะดวกซื้อที่มีอยู่ราว 20,000 กว่าสาขา หากเอสเอ็มอีที่ขายสินค้าจะต้องมีสต๊อกขายสาขาละถุงเป็นอย่างน้อย ก็ต้องมีสต๊อกสินค้า 4 แสนถุง ซึ่งหากเอสเอ็มอีต้องลงทุนถึง 4 ล้านขึ้นไปก็ไม่น่าจะเป็นเอสเอ็มอีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบางรายเข้าไปแล้วขายไม่ออก ขายไม่ได้ต้องถูกเก็บลงจากเชลฟ์ จะทำอย่างไร หรือร้านสะดวกซื้อมีรายการโปรโมชั่นทุกเดือน เอสเอ็มอีมีกำลังทำได้หรือไม่”
ทั้งหมดนั้นเป็นประเด็นที่คณะกรรมาธิการฯ ให้ความสำคัญ เพราะต่อไปยังจะมีกรณีควบรวมกิจการโทรคมนาคมทรู-ดีแทค ซึ่งหากควบรวมแล้วเขาขึ้นค่าแพคเกจจะทำอย่างไร เพราะจากเหตุการณ์ค้าปลีกค้าส่งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงมันไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน
“สิ่งเหล่านี้คือเจตนารมณ์ของกรรมาธิการ ที่มุ่งหวังให้เศรษฐกิจประเทศเดินหน้าเกิดความเป็นนธรรมในการแข่งขันและสุดท้ายประชาชนต้องได้รับผลประโยชน์”
