เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 มี.ค.67 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พหลโยธิน จตุจักร กทม.จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ อดีต สห.ทอ. พร้อม นายณัฐปกรณ์ สุดชา หรือทนายเจส พาผู้เสียหายกลุ่มที่ 3 จำนวนประมาณ 20 คน เข้าพบ ร.ต.อ.พิเชษฐ เทพสุวรรณ์รอง.สว.(สอบสวน) กก.1. บก.ป.แจ้งความเพิ่มเติม กรณีดาราสาวรายหนึ่ง จัดสัมมนาหลอกขายแพคเกจจลงทุนส่งอาหารสินค้าอุปโภคบริโภคไปขายที่ดูไบ และบาห์เรน ตะวันออกกลาง แต่ขายไม่ได้ และของไม่มีคืน โดยแจ้งความเมื่อ 20 ธ.ค.66 และ 12 ก.พ.67
ต่อมา 20 ก.พ. นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ/ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้พา“อาย วราไพรินทร์” ดาราและนักธุรกิจชื่อดัง เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อเคลียร์ปมที่ถูกร้องเรื่องการทำธุรกิจหลังลูกค้าแห่แจ้งความเอาผิดชวนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ไปขายบาร์เรน
นาย เอ. อายุ 45 ปี เจ้าของผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดผิวหน้า ผู้เสียหายรายแรก เปิดเผยว่า ตนส่งสินค้าไปจำหน่ายที่ตะวันออกกลางตามที่บริษัทของดาราคนนี้จัดสัมนา 2 ปี ขายได้ 5 ชิ้น เสียหายรวม 7 แสนบาท ทางบริษัทอ้างว่าจะต้องเผาทำลาย ตนขอให้ดำเนินการตรวจนับสต๊อกสินค้าให้เห็นก่อนเผาทำลาย แต่บริษัทไม่ทำตามที่ร้องขอไป จนตนมาเจอผู้เสียหายรายอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะเดียวกันคือขายสินค้าได้ 2-5 ชิ้น เราเห็นว่าไม่ยุติธรรมกับผู้ค้า เพราะบริษัทจะอ้างว่าสินค้าจำหน่ายไม่ได้ จะต้องทำลายทิ้ง ก็จะต้องมีหลักฐาน ยืนยันความบริสุทธิ์ใจให้ผู้ประกอบการเห็น ว่ามีการเช็คสต๊อกและมีการเปาทำลายทิ้งตามจำนวนนั้นๆ
นอกจากนั้นมีผู้ประกอบการบางคนได้เดินทางไปดูที่ร้านของบริษัทเขาในห้างฯ พบว่ายังมีสินค้าตัวที่ระบุว่าทำลายทิ้งแล้วจำหน่ายอยู่ อีกหลายแบรนด์ เราจึงสงสัยว่าบริษัทนี้ดำเนินการไม่ยุติธรรมกับผู้ประกอบการ
ตนมาวันนี้อยากจะขอเรียกร้องให้บริษัทฯ ของดาราสาวท่านนี้ออกมาพูดคุยกับเรา ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเขาจะรับผิดชอบอย่างไร บริษัทนี้เปิดทำการน่าจะไม่ต่ำกว่า 4 ปีแล้ว มีผู้ประกอบการที่ส่งสินค้าไปกับบริษัทนี้นับร้อยเจ้า แล้วสินค้าที่ส่งไปต้องถูกเผาทิ้งแสดงว่าบริษัทไม่มีเจตนาที่จะขายแพคเกจในราคาหลักหมื่นถึงแสนบาทแต่ไม่ได้ทำการตลาดให้เราจริง สินค้าแต่ละคนถึงจำหน่ายได่แต่ 4-5 ชิ้นเท่านั้น ถ้าบริษัทเขาไม่มีเจตนาทำให้พวกเราเสียหาย ก็ควรมาพูดคุยกัน เวทีไหน รายการไหนก็ได้
ด้าน น.ส.บี อายุ 35 ปี เจ้าของธุรกิจเทียนหอม ซึ่งเดินทางไปดูไบ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเอง เปิดเผยว่า ตนได้ดูดาราเจ้าของบริษัท คนนี้แถลงว่าเขาพบตำรวจกองปราบเมื่อ 20 ก.พ. ทางบริษัทเปิดช่องทางการสื่อสารปกติ ผู้ประกอบการสามารถติดต่อสื่อสารได้ ตนได้แชตไปสอบถามทางไลน์ออฟฟิศเชียลขิงบริษัท มีแต่เปิดอ่านแต่ไม่ยอมตอบคำถามใดๆ
นาง ซี อายุ 65 ปี เปิดเผยว่า ตนใช้เงินก้อนสุดท้ายของตนในการลงทุนส่งออกขายสินค้าที่ต่างประเทศ ทางบริษัทได้ขายฝันว่า สินค้าที่ฝากขายสามารถขายขึ้นห้างได้ แต่พอตนทวงถามถึงยอดขาย และเอกสารการขายในห้าง ทางบริษัทบ่ายเบี่ยงมาตลอด ตนจึงติดต่อขอคืนเงิน แต่ทางบริษัทบอกไม่มีนโยบายคืนเงิน และต่อมาไม่นานมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาว่าสินค้าเข้าห้างได้แล้ว แต่ก็ไม่มีการรายงานยอดขาย จนตอนนี้ตนยังไม่ได้รับเงินเลย จึงอยากให้ดาราท่านนี้ ออกมาชี้แจง เพราะเอกสารแต่ละอย่างยอดไม่เท่ากันเลย ทั้งยอดขาย ยอดสต๊อก ขาดการติดต่อ เงียบหาย ซึ่งตอนนี้ตนเสียเงินไปกว่า 170,000 บาทแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงิน หรือสินค้าคืน อีกทั้งยังมีการอ้างว่าต้องมีการยิง AD เพื่อโฆษณาจะต้องเสียเงินเพิ่ม แต่คนไม่ได้จ่ายไปเพราะคิดว่ายังไงก็คงขายไม่ได้อยู่ดี
ด้านทนายเจส ณัฐปกรณ์ กล่าวว่าตนเห็นใจผู้ประกอบการทุกท่านที่ประกอบธุรกิจขนาด SME เริ่มต้นที่จะทำธุรกิจแต่เมื่อมาเจอปัญหานี้เข้าทำให้รู้สึกเสียหายขาดทุน บางคนนำเงินออมหลังเกษียณราชการมาลงทุนก็หมดเพราะความเชื่อใจในข้อที่คุณนำเสนอ ฝากถึงดาราสาวท่านนี้ว่าถ้าคุณบริสุทธิ์ใจ ขอให้คุณนำหลักฐานออกมาแสดงพิสูจน์กัน ในกลุ่มผู้เสียหายขณะนี้มีผู้เสียหายมากกว่า 30 คน ได้เริ่มทยอยออกมาแจ้งความตำรวจ คุณสามารถที่จะมาเผชิญหน้ากับผู้เสียหายเหล่านี้ได้ นำเอกสารที่คุณอ้างว่ามีการส่งสินค้า ขนสินค้าของศุลกากร เอกสารแจ้งหน่วยงานต่างๆ มาพิสูจน์กัน ไม่ใช่มีแค่อีเมล์ที่คุณส่งแจ้งผู้ประกอบการมาว่าแค่ทำลายสินค้าทิ้งแล้ว ผู้เสียหายเขาไม่ได้เห็นสินค้าว่าของเขาที่ส่งไปจำหน่ายเสียจริงหรือเปล่า ขอให้ออกมาเคลียร์กันเพื่อให้เรื่องจบดีกว่า หลายคนไม่สบายใจกันมากๆ เวลานี้
กรณีที่ทางดาราสาวอ้างว่าจะฟ้องร้องว่ามีการแจ้งความเท็จนั้นตนขอยืนยันว่าผู้เสียหายพูดความจริงทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการกฎหมายถ้าคุณเอาหลักฐานมาเล่าเอาหลักฐานมา เพราะการทำลายของหรือสินค้า จะต้องแจ้งกรมสรรพากร อยากให้ออกมาชี้แจงว่ามีการแจ้งแล้วหรือไม่ ซึ่งตนและผู้เสียหายคนอื่นไม่กลัวโดนฟ้องตามที่ดาราออกมาชี้แจง เพราะทุกคนเชื่อในหลักฐานที่มี / เบื้องต้นจะมีการแจ้งข้อหาฉ้อโกง และรอพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดก่อน
จ่าคิงส์ สะพานใหม่ ยังระบุอีกว่า ผู้เสียหายทุกคนที่พามานั้นมีมูลหมด แล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่พามาร้องเรื่องเดิม ซึ่งตนเองก็มั่นใจว่าหลักฐานที่มีอยู่สามารถเอาผิดได้แน่นอน ทั้งนี้ยังมีผู้เสียหายอีก 1 ราย ได้ทำการซื้อแพ็คเกจสินค้า ทางบริษัทก็อ้างว่ามีการวางขายแล้ว เลยตัดสินใจเดินทางไปดูหน้าช็อปเองที่ต่างประเทศเอง ปรากฏว่าไม่มีสินค้าของตนวางขายสักชิ้น จึงมองว่าบริษัทดำเนินธุรกิจแบบไม่ยุติธรรม จึงอยากให้ทั้งฝั่งของผู้เสียหาย กับดาราสาง ออกมาพูดคุยกัน และเอาหลักฐานต่างๆมายืนยัน
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนลงประจำวันไว้ก่อนจะนัดผู้เสียหายแต่ละรายมาสอบปากคำเพื่อรวมกับผู้เสียหายก่อนหน้านี้ เสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
