วันนี้ (20 มิ.ย 67) เวลา 16.30 น. อาคารประชารักษ์ ตึกกองปราบฯ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจ สอบสวนกลาง ร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ช. นายจักรกฤช ต้นเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ สำนักงาน ป.ป.ท. นายเอกชัย เกษมสุขธวัช รองเลขาธิการ ร่วมกันแถลงข่าว เปิดปฏิบัติการ กวาดล้าง ให้ ส.ป.ก. คืนความเป็นธรรมให้เกษตรกร
ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา นายอัครเดช อายุ 56 ปี /รฃนาย ปรีชา อายุ 61 ปี /นางวิไลลักษณ์ อายุ 53 ปี / นายโชคศักดิ์ อายุ 54 ปี เป็นผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3
โดยพฤติการณ์ของคดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ได้มีบุคคลมาร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจ ปปป. เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.จังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยปละละเลยให้โรงงานแห่งหนึ่งปล่อยน้ำเสียลงในพื้นที่ ส.ป.ก. เป็นเหตุให้ทรัพยากรบริเวณดังกล่าวเสียหาย กว่า 600 ไร่
จากการตรวจสอบพบว่า พื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นบ่อน้ำและมีน้ำเสียปะปนอยู่ ซึ่งโรงงานดังกล่าวได้ครอบครองที่ดินของ ส.ป.ก. ตั้งแต่ปี 2521 โดยมิชอบและลักลอบขุดบ่อปล่อยน้ำเสียจากโรงงานสู่ที่ดิน ส.ป.ก. มาโดยตลอด
นอกจากนี้ ยังพบการฉ้อฉล ปลอมเอกสิทธิ์ และพฤติการณ์เร่งรัดการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินหรือ ส.ป.ก. 4-01 ในพื้นที่ดังกล่าวแก่ประชาชนจำนวน 13 รายในลักษณะของการนอมินี กล่าวคือให้ประชาชนทั้ง 13 รายได้รับสิทธิ์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินแทนบริษัทโรงงาน โดยอ้างว่ารับกระจายสิทธิ์มาจากโรงงานอุตสาหกรรมแห่งนี้ เพื่อเลี้ยงปลาและเพาะเลี้ยงสาหร่าย ซึ่งโดยสภาพพื้นที่แล้วในความเป็นจริง ไม่อาจอนุญาตให้ประชาชนเข้าทำเกษตรได้
จากการสอบสวนจึงมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ส.ป.ก. จังหวัดนครราชสีมาทั้ง 4 ราย ได้ดำเนินการจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. โดยทุจริต เป็นเหตุให้ที่ดิน ส.ป.ก. จำนวนกว่า 600 ไร่ได้รับความเสียหาย จึงได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ออกหมายจับเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. จังหวัดนครราชสีมาทั้ง 4 ราย รวมทั้งขอหมายค้นจุดต้องสงสัยรวม 14 จุดในเขตพื้นที่ จ.นครราชสีมา อุดรธานีและกรุงเทพ รวมทั้งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้ง 4 รายตามที่ปรากฏรายชื่อข้างต้น เบื้องต้นจากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาทุกรายยังคงให้การปฏิเสธ
ด้านผลการตรวจค้นทั้ง 14 จุด พบว่า ที่บ้านของนายปรีชาในจังหวัดนครราชสีมานั้น พบหมุด วัดที่ดิน มากถึง 151 หมุด และอุปกรณ์สำหรับการขุดเจาะเพื่อปักหมุดรวมทั้งพัสดุที่ได้ ลงทะเบียนเลขของสปกจังหวัดนครราชสีมาเป็นจำนวนมากจึงเชื่อว่านายปรีชา น่าจะครอบครองบุตรดังกล่าว เพื่อทำงานวัดที่ดินและปักหมุด ทั้งๆที่นายปรีชาเกษียณอายุราชการแล้ว และมีลักษณะของการทำงานแบบนี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังพบว่า ในพื้นที่ตรวจคนอื่นๆ ยังพบเอกสารข้อมูลการพูดคุย เกี่ยวกับการซื้อที่ดินสปก. ไปจนถึงสมุดบัญชีธนาคาร และหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินสปก
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ปฏิบัติการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนทั้งจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. ในการปัดกวาดปัญหาที่ดิน ส.ป.ก. เนื่องจากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการจัดสรรที่ดินที่ไม่ได้รับความสะดวกและมีปัญหาด้านข้อกฎหมายเกือบทั่วประเทศ โดยที่ จ.นครราชสีมา นั้น พบปัญหาการร้องเรียนมานานแล้วหลายครั้งและค่อนข้างเด่นชัดว่า เจ้าหน้าที่รัฐสังกัด ส.ป.ก. มีปัญหา ปฏิบัติการวันนี้เป็นเพียงแค่เฟสแรก โดยจะรวบรวมพยานหลักฐานและจะเปิดปฏิบัติการในเฟสที่ 2 ต่อไป เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดิน ส.ป.ก. ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนมาอย่างยาวนาน ยอมรับว่าปัญหานี้อาจมีผู้มีอิทธิพลมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทุกหน่วยงานจะบูรณาการในการกวาดล้างและปราบปรามปัญหาอย่างเต็มที่
สำหรับประชาชน 13 รายที่ทำหน้าที่เป็นนอมินีในการถือครองที่ดิน ส.ป.ก.ในคดีนี้นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า อยู่ในระหว่างการสอบสวนเพื่อหาความเชื่อมโยงว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้ว่า ทั้ง 13 รายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งหากพบว่ามีส่วนกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีต่อไป
ด้านตัวแทนเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ยอมรับว่า กระบวนการสอบสวนคดีนี้ล่าช้า แต่เป็นการใช้เวลาไล่สอบสวนตั้งแต่ต้นทางร่วมกับหลายหน่วยงาน จนพบว่า เจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. จังหวัดนครราชสีมาทั้ง 4 ราย มีส่วนร่วมในการออกเอกสารสิทธิ์ 4-01 โดยมิชอบ โดยเฉพาะการไม่ตรวจสอบประวัตินอมินี 13 รายว่าเป็นเกษตรกรจริงหรือไม่ ไปจนถึงการที่สามารถออกรังวัดและเอกสารได้ภายในวันเดียว ทั้งที่ระยะเวลาออกเอกสารต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30-60 วัน
