สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน พบปะหารือกับกลุ่มผู้นำองค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่สำคัญในกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า “สงครามภาษีศุลกากร สงครามการค้า และสงครามวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี สวนทางกับกระแสธารประวัติศาสตร์และกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ รวมถึงจะไม่มีผู้ชนะ”
อย่างไรก็ดี จีนพร้อมเดินหน้าการเจรจา ขยับขยายความร่วมมือ และจัดการความแตกต่างกับรัฐบาลสหรัฐ โดยคาดหวังว่า สหรัฐจะทำงานร่วมกับจีน เพื่อผลักดันความสัมพันธ์ทวิภาคี สู่ทิศทางอันดี มีเสถียรภาพและยั่งยืน
คำกล่าวของผู้นำจีน กำลังสื่อว่า อเมริกาไม่มีทางชนะจีนในสงครามการค้า! ทางออกที่ดีคือ ควรร่วมมือกัน เพื่อสร้างเสถียรภาพที่ยั่งยืน
ย้อนกลับไปในวันที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ เขาได้ยืนยันนโยบาย การประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีน 60% อาจเป็นเรื่องน่าตกใจ แต่ต้องไม่ลืมว่า สงครามการค้า ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับจีน เคยโดนมาแล้วตั้งแต่สมัยแรกที่ทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่ง ตามด้วยยุคสมัยของ โจ ไบเดน อีก 4 ปี รวมเป็นเวลา 8 ปี ที่จีนโดนกำแพงภาษีของอเมริกาเล่นงานมาอย่างต่อเนื่อง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้ เดโมแครต หรือ รีพับลิกัน จะได้เป็นรัฐบาล ปักกิ่งรู้ดีอยู่แล้วว่า สงครามการค้าจะยังคงอยู่ต่อไป เพียงแต่มีรูปแบบความ “หนัก-เบา” แตกต่างกันไป
ปัญหาสงครามการค้า อาจทำให้จีนเจ็บตัว แต่จะไม่มากไปกว่าช่วงที่ผ่านมา ซึ่งตลอด 8 ปี รัฐบาลจีนได้หาทางปรับตัว พัฒนา แสวงหาพันธมิตรทางการค้า กระจายความเสี่ยงออกจากตลาดสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
ว่ากันว่า ตลาดส่งออกของจีนที่เคยพึ่งพาอเมริกามากกว่า 10% ของจีดีพีจีนในอดีต วันนี้ลดลงเหลือเพียง 2%
ขณะที่เมื่อมองกลับด้าน อเมริกายังคงต้องพึ่งพาตลาดจีนไม่น้อยเช่นเดียวกัน ด้วยจำนวนผู้บริโภคมากถึง 1.4 พันล้านคน เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในโลก ทำให้บริษัทสัญชาติอเมริกันยังคงยกให้เป็นตลาดส่งออก และแหล่งน่าลงทุนอันดับ 1 ของโลก
เพราะฉะนั้นการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ย่อมกระทบกับบริษัทอเมริกัน ที่เข้าไปลงทุนทำธุรกิจส่งออกในจีน ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคชาวอเมริกัน ก็จะต้องซื้อสินค้านำเข้าจากจีน ในราคาแพงขึ้น
ที่สำคัญคือ สหรัฐยังประกาศจะขึ้นภาษีกับประเทศอื่น ที่ได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกาอีกด้วย
นั่นทำให้ “ขั้วโลกฝ่ายจีน” มีพลังและเข้มแข็งมากขึ้น เพราะทุกประเทศที่โดนรีดภาษี จะกระจายความเสี่ยงออกจากอเมริกา และเข้ามาร่วมกลุ่มทำการค้ากับจีนมากขึ้น ตามยุทธวิธีเชิงการค้าที่ต่างแสวงหา “ขั้วที่ดีกว่า”
แม้แต่ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งกำลังจะพ้นจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐ ยังกล่าวเมื่อวันอังคาร (10 ธ.ค.) ว่า แผนเศรษฐกิจที่สุดโต่งของโดนัลด์ ทรัมป์ นับเป็น “ความผิดพลาดครั้งใหญ่” ผู้บริโภคสหรัฐจะต้องแบกรับผลกระทบจากภาษีศุลกากร ที่ทรัมป์ตั้งใจจะเรียกเก็บจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโกและแคนาดา รวมถึงจีนที่เป็นคู่แข่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
