“…“วัชระ” ยื่นสอบอธิบดีกรมที่ดินรวมถึงนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทุกราย ส่อว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริตหรือไม่ กรณีไม่เพิกถอนโฉนดเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ และไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาล และทวงถาม ป.ป.ช.เรื่องทุจริตสภาไปถึงไหนแล้ว ช่วยกันหรือไม่?…”
วันที่ 25 ธันวาคม 2567 นายวัชระ เพชรทอง เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวเรื่องอธิบดีกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ไม่เพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 มีมติเห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินรถไฟฯ เขากระโดง เพราะ รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท. นั้น
ตนในฐานะอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวน นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน คณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 กับพวก รวมถึงนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทุกรายส่อว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริตหรือไม่ กรณีไม่เพิกถอนโฉนดเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ และไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 ทำให้การรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงนั้น
ทั้งนี้หนังสือของสมาพันธ์คนงานรถไฟ (สพ.รฟ.) ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ระบุ “มติคณะกรรมการตามมาตรา 61 มีมติดังกล่าวนั้นจึงเป็นการละเมิดคำตัดสินของศาลฎีกาและขัดต่อพระราชโองการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งกรมที่ดินอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย”
อนึ่งขอให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการกันข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนอันเป็นประโยชน์ต่อทางราชการไว้เป็นพยานด้วย
นายวัชระ กล่าวอีกว่า วันนี้ตนยังมายื่นหนังสือติดตามความคืบหน้าต่อนายวิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการ ป.ป.ช. และประธานคณะกรรมการไต่สวน เพื่อขอให้เร่งรัดการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตผนังกันห้องประชุมกรรมาธิการผิดแบบ จำนวน 113 ห้องโครงการการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ ตามที่ตนได้ยื่นหนังสือร้องเรียนกับสำนักงาน ป.ป.ช. กล่าวหานางพรพิศ เพชรเจริญ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกับพวก ว่ามีคำสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายละเอียดงานก่อสร้างห้องประชุมกรรมาธิการ บริเวณชั้น 3 และชั้น 4 จำนวน 113 ห้อง โดยมิชอบ และสำเนาโต้แย้งของกรรมการเสียงข้างน้อย และตามหนังสือที่อ้างถึง สำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติรับเรื่องกล่าวหาดังกล่าวเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วนั้น
ตนได้ให้การกับคณะอนุกรรมการไต่สวนในเรื่องดังกล่าวข้างต้นนานมาแล้วปรากฏว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีความคืบหน้าและใช้ระยะเวลาเวลานานกว่า 2 ปี 5 เดือน เกินกว่าที่กฎหมาย ป.ป.ช. บัญญัติไว้จากกรณีดังกล่าว จึงขอติดตามผลและขอทราบความคืบหน้าว่าคณะอนุกรรมการไต่สวนได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างไร และมีผลการไต่สวนเป็นประการใด และขอให้สอบสวนว่าฝ่ายเลขานุการมีการประวิงคดีหรือไม่ และมีความเป็นกลางหรือไม่
ทั้งนี้ ตนขอให้ข้อเท็จจริงและพยานเอกสารเพิ่มเติมประกอบการให้ถ้อยคำว่า ช่วงระยะเวลาการงดประชุมสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าวซึ่งไม่มีการประชุมฯ ผู้รับเหมาสามารถเข้าไปแก้ไขห้องประชุมให้กันผนังกันเสียง 2 ชั้น ให้ถูกต้องตามแบบการก่อสร้างได้ แต่นางพรพิศ เพชรเจริญ เมื่อครั้งดำรงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กลับไม่รักษาผลประโยชน์ของทางราชการ ไม่สั่งการให้ผู้รับเหมาแก้ไขการก่อสร้างให้ถูกแบบจึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมา ข้ออ้างที่ว่าติดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรของทุกฝ่ายที่กล่าวอ้าง จึงเป็นรายงานเท็จต่อทางราชการ ย่อมไม่สามารถรับฟังได้
ตนมาวันนี้ เพื่อขอให้ ป.ป.ช. เร่งดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงทั้ง 2 กรณีดังกล่าวข้างต้น ซึ่งพี่น้องประชาชนให้ความสนใจติดตามถามไถ่กับตนมาตลอด จึงขอให้ ป.ป.ช.โปรดเร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป หากผลเป็นประการใดโปรดแจ้งให้ตน และพี่น้องประชาชนทราบภายใน 15 วันด้วย จักขอบคุณยิ่ง…นายวัชระ กล่าวทิ้งท้าย