2.กสม. ตรวจสอบกรณีผู้ต้องขังเสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช แนะกรมราชทัณฑ์ – สธ. พัฒนาระบบการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดต่อในเรือนจำ
นางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้หยิบยกกรณีการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ในช่วงเดือนเมษายน 2567 ซึ่งมีผู้ต้องขังติดเชื้อกว่า 3,000 คน และเสียชีวิต 2 คน ขึ้นพิจารณา โดยเบื้องต้นได้ประสานการช่วยเหลือไปยังกรมราชทัณฑ์ และทราบว่ากรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ โดย สปสช.ได้จัดสรรวัคซีนและฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ต้องขังทุกคนแล้ว แม้ต่อมาผู้ต้องขังที่ป่วยของเรือนจำฯ ได้รับการรักษาจนหายป่วยทั้งหมด แต่เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้ต้องขังเสียชีวิต อันอาจมีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมีมติให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนแล้วเห็นว่า ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งองค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ข้อ 24 กำหนดให้การให้บริการด้านการรักษาพยาบาลแก่ผู้ต้องขังเป็นความรับผิดชอบของรัฐ โดยผู้ต้องขังควรได้รับการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานเช่นเดียวกับที่รัฐจัดให้กับประชาชนอื่น และจะต้องสามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นโดยไม่คิดมูลค่าและไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสถานภาพด้านกฎหมายของตน ส่วนการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่มีอาการป่วยนั้น พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 รวมทั้งมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการควบคุมผู้ต้องขัง วางหลักไว้ว่า ผู้ต้องขังย่อมมีสิทธิได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็วและหากจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนอกเรือนจำที่ถูกควบคุมตัว จะต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์และต้องได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการเรือนจำก่อน
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อต้นเดือนเมษายน 2567 เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำฯ ผู้ต้องขังเริ่มมีอาการป่วยรายแรกในแดนสูทกรรมซึ่งรับผิดชอบงานแผนกปรุงอาหาร จากนั้นเริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคไปสู่แดนอื่น ๆ ผ่านการพูดคุยกันโดยไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และมีปัจจัยเสริมให้เกิดการระบาดคือความหนาแน่นในห้องนอนของผู้ต้องขังเกือบทุกแดน โดยขณะเกิดเหตุเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชมีผู้ต้องขังทั้งหมด 4,699 คน พบว่าติดเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่จำนวน 3,485 คน มีผู้ป่วยอาการรุนแรง 37 คน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล 45 คน และเสียชีวิต 2 คน กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า ตั้งแต่เรือนจำฯ พบผู้ต้องขังป่วย เจ้าหน้าที่ได้ตรวจหาโรคไข้หวัดใหญ่และ Covid-19 ทันที มีการแยกตัวผู้ต้องขังป่วยตามระดับ
ส่วนการส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาภายนอกเรือนจำพบว่า ตั้งแต่เรือนจำฯ พบว่าผู้ต้องขังเริ่มมีอาการป่วย พยาบาลเรือนจำได้ดูแลอย่างต่อเนื่อง และให้ผู้ต้องขังได้พบแพทย์เพื่อประเมินอาการเบื้องต้น จากนั้นได้ส่งตัวออกไปรักษาพยาบาลทันทีเมื่อมีภาวะที่เกินศักยภาพของเรือนจำจะสามารถดูแลได้ สำหรับกรณีการเยียวยาผู้ต้องขังที่เสียชีวิตทั้งสองรายนั้น จากการตรวจสอบพบว่า กรมราชทัณฑ์ได้ตรากฎกระทรวงการรับเงินทำขวัญของผู้ต้องขังซึ่งบาดเจ็บ เจ็บป่วย หรือตาย จากการทำงาน พ.ศ. 2563 ซึ่งกำหนดให้การเยียวยากระทำได้เฉพาะผู้ต้องขังที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติงานให้กับเรือนจำเท่านั้น แต่หากเป็นกรณีเสียชีวิตด้วยอาการป่วยหรือตายด้วยสาเหตุอื่นนอกจากการทำงาน ญาติของผู้เสียชีวิตจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อพิสูจน์ต่อไปว่าการเสียชีวิตดังกล่าวเกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่หรือไม่ อีกทั้งยังไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่สามารถยืนยันได้ว่าการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของเรือนจำฯ
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วจึงเห็นว่า เรือนจำฯ ได้พยายามควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่และรักษาพยาบาลผู้ต้องขังภายใต้ข้อจำกัดที่มีขณะนั้นแล้ว และไม่ได้ละเลยต่อการเยียวยาให้แก่ผู้ต้องขังที่เสียชีวิตทั้งสองรายแต่อย่างใด ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า เรือนจำฯ ได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องขังเสียชีวิต
อย่างไรก็ดี กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 ได้มีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกรมราชทัณฑ์และกระทรวงสาธารณสุข ให้ร่วมกันพัฒนาระบบการเฝ้าระวังโรคติดต่อในเรือนจำในลักษณะเดียวกันนี้ เพื่อป้องกันและแก้ไขกรณีมีโรคติดต่อแพร่ระบาดที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งให้จัดเตรียมชุดตรวจหาโรคติดต่อ วัคซีน และหน้ากากอนามัยสำหรับผู้ต้องขังอย่างเพียงพอและสอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคในแต่ละปี และให้ร่วมกันอบรมเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ และวิธีการป้องกันในเบื้องต้นอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งกำชับเจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาลของเรือนจำทุกแห่งให้บันทึกสัญญาณชีพของผู้ป่วยทุกรายโดยละเอียดเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยเมื่อต้องส่งผู้ป่วยออกไปรักษาภายนอกเรือนจำ
นอกจากนี้ ให้กรมราชทัณฑ์ส่งรายงานกรณีการเสียชีวิตของผู้ต้องขังทั้งสองให้แก่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข เพื่อพิจารณาให้เงินช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 41 และให้แจ้งเรือนจำและทัณฑสถานทุกแห่งแจ้งสิทธิ ให้ความช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวกแก่ผู้ต้องขังหรือทายาท แล้วแต่กรณี เพื่อให้เข้าถึงสิทธิดังกล่าวด้วย