การประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา-เม็กซิโก ในอัตรา 25% และ จีน 10% ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2025 อาจจะทำให้ภาพของ “ทรัมป์” ดูดีในสายตาชาวอเมริกัน แต่สำหรับชาวโลกแล้ว ผลอาจตรงกันข้าม
เห็นได้จากการที่รัฐบาลแคนาดาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า โต้ตอบสหรัฐฯทันควัน ในอัตรา 25% เช่นกัน สำหรับสินค้าจำนวน 155 พันล้านดอลลาร์แคนาดา ขณะที่ประชาชน ธุรกิจ รัฐบาลท้องถิ่นของแคนาดา เตรียมการณ์จะคว่ำบาตรสินค้าอเมริกาต่างๆ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเหล้า ไวน์ และอื่นๆ
เช่นเดียวกับเม็กซิโก ประกาศใช้มาตรการตอบโต้ ทั้งมาตรการภาษีนำเข้า และมาตรการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี
ขณะที่จีนได้ดำเนินมาตรการต่างๆ ตอบโต้เช่นกัน เริ่มต้นด้วยกการประกาศขึ้นภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว ขึ้นภาษี 10% สำหรับน้ำมันและอุปกรณ์ทางการเกษตรจากสหรัฐ และสั่งสอบสวน Google ฐานละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด รวมถึงจะฟ้อง WTO หรือองค์การการค้าโลกว่า การดำเนินการของสหรัฐฯ ขัดต่อข้อตกลงการค้าเสรี
สงครามการค้ารอบนี้เพิ่งเริ่มต้น ยังมีอีกหลายประเทศ ที่จะต้องเผชิญกับผลกระทบด้านภาษีของอเมริกา ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มประเทศในยุโรป ซึ่งทรัมป์ประกาศว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป หรือ อียู เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯกับอียู รวมไปถึงการที่เขามองว่าอียู นำเข้ารถยนต์และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯน้อยเกินไป
ความบอบช้ำของสงครามการค้า จะลามไปสู่ประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในระบบซัพพลายเชนทั้งโลก มากหรือน้อยแตกต่างกันไป แต่ทุกประเทศต้องเจอผลกระทบเหมือนกันหมด ซึ่งหลายคนมองว่า ทรัมป์กำลังผลักไส “มิตร” ให้กลายเป็น “ศัตรู” หรือเปล่า
ก่อนหน้านี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกมาระบุถึงเรื่องนี้ว่า จีนไม่เห็นด้วย และคัดค้านการตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่กำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติม ร้อยละ 10 กับสินค้านำเข้าจากจีน พร้อมเตือนว่า “ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า และสงครามภาษีศุลกากร”
สุดท้ายคือ “แพ้” ทุกฝ่าย “บาดเจ็บ” ทุกคน
สงครามการค้า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภายในของสหรัฐฯ และไม่ได้เป็นประโยชน์กับฝ่ายใด รวมถึงโลก
จึงต้องติดตามการสนทนาทางโทรศัพท์ ระหว่าง ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กับ สีจิ้นผิง ผู้นำจีน รอบที่ 2 ว่าจะหาทางออกอย่างไร ถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางการทูตครั้งสำคัญ ขณะที่สองประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก พยายามหาข้อตกลง เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้าในวงกว้าง
