เวลา 13.00 น. วันที่ 13 ก.พ.68 ที่ ด้านข้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “เสี่ยหมูกบินทร์บุรี”นายวุฒิโรจน์ เดชอริยอนันต์ หรือ นายสุวัตชัย คนซื่อ อายุ 53 ปี เจ้าของตลาดสดเสี่ยหมูกบินทร์บุรีตรงข้ามโลตัสอำเภอกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ผู้เสียหายที่เคยนอนขวางถนนพหลโยธิน ด้านหน้า บช.ก. เมื่อ พ.ย.66 เรียกร้องให้ตำรวจกองปราบฯ สนใจคดีที่เขามาแจ้งความ ในวันนี้ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอความช่วยเหลือ อ้างว่าถูกตำรวจและอัยการใน จ.กบินทร์บุรี รวมหัวกลั่นแกล้งยัดข้อหาดำเนินคดีนับสิบแต่ไม่ส่งฟ้อง
”เสี่ยหมูกบินทร์บุรี“ เปิดเผยว่า ตนเดินทางมาวันนี้ เพื่อต้องการเรียกร้องให้ ผบ.ตร.ช่วยสืบดูผู้พฤติกรรมของกลุ่มข้าราชการตำรวจและเจ้าพนักงานอัยการจังหวัดกบินทร์บุรีที่ร่วมกันรังแกตนจากกรณีที่เป็นคดีความกันมาตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องจนบัดนี้ บางคดีก็ยังคาอยู่ที่กองปราบฯ และก็มีกลุ่มข้าราชการชั้นสูงในอำเภอกบินทร์บุรีทั้งกลุ่มข้าราชการตำรวจและกลุ่มข้าราชการอัยการร่วมกันพยายามยัดเยียดข้อหาให้ตน ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน มีแต่คดีที่คู่กรณีแจ้งความเท่านั้นสั่งฟ้อง ส่วนคดีที่ตนแจ้งกลับไม่ฟ้องเลยนับ 10 คดี
สร้างความเดือดร้อนให้กับตน จนได้รับความเสียหายเสื่อมเสียทั้งชื่อเสียงทั้งเงินทองหลายอย่าง การประกอบอาชีพก็ลำบาก ขาดความน่าเชื่อถือในสายตาชาวบ้านในกบินทร์บุรี
ตนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร วันนี้จึงต้องมาร้องขอให้ท่าน ผบ.ตร.ให้ช่วยสืบดูผู้พฤติกรรมของกลุ่มข้าราชการตำรวจและเจ้าพนักงานอัยการจังหวัดกบินทร์บุรีที่ร่วมกันรังแกตนให้ด้วย
เบื้องต้น ………. รับหนังสือร้องเรียนของ “เสี่ยหมูกบินทร์บุรี” เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
นอกจากนี้วุฒิโรจน์ หรือ เสี่ยหมูกบินทร์บุรี เปิดเผยว่า ช่วงเช้าตนไปแวะเข้าไปกราบไหว้สักการะพระพุทธพิทักษ์นำชัย ที่เคารพของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และขอบคุณพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ที่ทำสำนวนคดีที่ตนกลุ่มนายตำรวจโกงที่ดิน 34 ไร่เศษ ที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ส่งอัยการ ขณะนี้คดีสืบอยู่ในศาลกบินทร์บุรี
ก่อนจะโชว์เอกสารที่อ้างว่าเป็นหลักฐานเด็ดหนังสือสัญญาจะซืัอขายที่ดินดังกล่าวจากเจ้าของที่ดินเดิม ทำไว้เมื่อปี 2553 เขาสงสารเห็นตนต่อสู้ความไม่ยุติธรรม จึงส่งมาให้ตนไม่นานนี้ และเมื่อตนเอาไปเป็นหลักฐานในศาลทำให้คู่ความจำนนยอมรับสารภาพต่อศาล ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตนจริงแต่จดทะเบียนเป็นชื่อญาติๆ รับจดแทน คดีนี้น่าจะตัดสินได้เร็วๆ นี้
