ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำเร็จในการปราบปราบอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของกลุ่มทุนจีนเทาบริเวณชายแดนไทย-เมียนม่าและไทย-กัมพูชาที่รัฐบาลไทยงัดมาตรการขั้นเด็ดขาดด้วยการสั่งตัดกระแสไฟฟ้าที่จ่ายไปยังเมืองชเวโก๊กโก่-เมียวดี
จนทำให้ “กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยงบีจีเฟ (BGF)” ที่เป็นแหล่งพักพิงของขบวนการเหล่านี้ถึงกับนั่งไม่ติด ต้องลุกขึ้นมาฟ้อนเงี้ยวดำเนินมาตรการกวาดล้างและขับไล่กลุ่มทุนจีนสีเทาและเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเหล่านี้ขั้นเด็ดขาด
ระยะเวลาไม่ถึงขวบเดือนหลังเปิดปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลล์และสแกมนี้ มีการจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการและเครือข่ายแรงงานเถื่อนทั้งที่ป็นผู้ร่วมขบวนการและเหยื่อกว่า 7,000 คน เพื่อเตรียมส่งตัวไปดำเนินคดีที่จีน รวมทั้งประสานขอให้รัฐบาลไทยรับตัวส่งคนเหล่านี้ส่งกลับภูมิลำเนา
1 ในปัจจัยความสำเร็จในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งนี้นอกจากความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลไทยที่ตัดสินใจดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดในการสั่งตัดน้ำไฟที่ส่งไปหล่อเลี้ยงกลุ่มทุนจีนเทาฝั่งโน้นแล้ว

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ก็เป็นอีกกลไกสำคัญที่มีส่วนในการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกรมเหล่านี้ให้สิ้นซาก จากการออกประกาศมาตรการเร่งด่วนในการสกัดกั้นแก๊งคอลล์โดยนำเอาระบบยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) หรือข้อมูลทางชีวภาพมาใช้ในการลงทะเบียน “ซิมการ์ด” การสั่งให้ผู้ให้บริการค่ายมือถือทั้งหลายเข้มงวดและจำกัดการลงทะเบียนซิมชาวต่างชาติคนละ ไม่เกิน 3 ซิมโดยต้องใช้ passport ลงทะเบียนเท่านั้น
รวมทั้งกำหนดให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องส่ง IP Address ของคนร้ายที่ใช้ Mobile Banking โอนเงินและเครือข่ายให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด กำหนดให้แสดงชื่อผู้โทรเข้าแทนเลขหมาย (Caller ID) และกำหนดให้ระบบ Mobile Banking ต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตจากซิมการ์ดเท่านั้น เมื่อต้องการโอนเงินจำนวนมาก เป็นการสกัดซิมผี-บัญชีม้า
และโดยเฉพาะการที่สำนักงาน กสทช.ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตามแนวชายแดนตรวจสอบเสาสัญญานมือถือและอินเทอร์เน็ตที่ส่งสัญญาน ข้ามแดนออกไปให้สิ้นซาก โดยไม่ต้องรอการตรวจสอบหรือขออนุมัติจากหน่วยงานใดๆ และน่าจะถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำเอาแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้แทบจะหมดสิ้นไร้หนทางทำมาหากินกันเลยทีเดียว
ความสำเร็จในการทลายแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมครั้งนี้ ไม่เพียงจะกอบกู้เครดิตชื่อเสียงให้แก่รัฐบาลไทย จนถึงขั้นที่ทางการจีนยังเอ่ยปากชื่นชมแล้ว
องค์กร กสทช.เองก็ถูก “โฟกัส”ว่าเป็น 1 ในกลไกสำคัญของการหยุดยั้งและทลายขบวนการเหล่านี้ มาตรการที่ กสทช.ออกมารองรับและสกัดกั้นซิมผี-บัญม้า รวมทั้งการรื้อเสาสัญญานมือถือ-อินเทอร์เน็ตที่เป็นช่องทางสำคัญของขบวนการเหล่านี้ทำให้บทบาทของ กสทช.กลับมาโดดเด่นเห็นได้ชัด
แม้ก่อนหน้านี้ กสทช.จะถูกสังคม”สัพยอก”และค่อนแคะว่าเป็นแค่องค์กรเสือกระดาษ เป็นร่างทรงกลุ่มทุนการเมือง-กลุ่มทุนสื่อสารและอะไรต่อมิอะไร จะขยับตัวทำอะไรก็ดูจะติดขัดไปหมดเพราะความขัดแย้งภายใน
แต่ผลงานความสำเร็จของการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มทุนจีนสีเทาล่าสุด ได้สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานของรัฐที่ป็นอิสระแห่งนี้ยังคงเป็นกลไกที่พึ่งพิงได้เสมอ และยังสามารถทำงานได้อย่างอิสระไม่ได้ขึ้นอยู่กับกลไกทางการเมือง หรือเกมต่อรองซึ่งผลประโยชน์ทางการเมืองใดๆ (ผิดกับการจะสั่งตัดน้ำไฟของหน่วยงานรัฐ กฟภ.ก่อนหน้าที่โยกโย้โยนกันไปมา)

เช่นเดียวกับเรื่องของความเหลื่อมล้ำในเรื่องสิทธิรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนใน “กองทุนประกันสังคม” ที่กำลังงานเข้าอยู่ในเวลานี้จากการที่พรรคฝ่ายค้านออกมาปูดสิทธิรักษาพยาบาลของกองทุนประกันสังคมที่ถูก “ด้อยค่า” ได้สิทธิน้อยกว่ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ “สปสช.” หรือ “บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค” เสียอีก ทั้งที่กองทุนประกันสังคมมีเม็ดเงินเป็นแสนล้าน แต่สิทธิรักษาพยาบาลที่ผู้ประกันตนได้รับกลับแย่กว่าสิทธิ์บัตรทองที่ได้ฟรีเสียอีก!
จนถึงขั้นที่มีการเสนอให้โอนสิทธิรักษาพยาบาลของกองทุนประกันสังคมไปให้ สปสช.รับผิดชอบแทนเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ซึ่งล่าสุด นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ได้สั่งตั้งคณะกรรมการศึกษาค่ารักษาพยาบาล 3 กองทุนที่จะกรุยทางไปสู่การยกระดับสิทธิรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนกันเลยทีเดียว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพของ สปสช. หรือบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรคได้รับการยกระดับจนถึงขั้นที่สหประชาชาติหรือ WHO ยกย่องโมเดลการบริหารกองทุนบัตรทองของไทยนั้นก็มาจากความร่วมมืออันใกล้ชืดระหว่าง สปสช.กับ กสทช.นั่นแหล่ะ
ยิ่ง กสทช.ที่มี “หมอไห่ ศ.นพ.คลินิกสรณ บุญใบชัยพฤกษ์” ในฐานะประธาน กสทช.ที่เป็นผู้ที่มีส่วนผลักดันโครงการความร่วมมือด้านการรักษาพยาบาลผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และ กสทช. อย่างโครงการระบบโทรเวชกรรมถ้วนหน้า (Universal Telehealth Coverage : UTHC) หรือ “เทเลเฮลท์” ที่ประยุกต์เอางานบริการทางการแพทย์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชนบทมาใช้ทำให้การรักษาพยาบาลผ่านระบบ Telemedecine มีระบบส่งต่อผู้ป่วยเป็น 1,000 จุด ก็ยิ่งทำให้รูปแบบการรักษาพยาบาลของกองทุน สปสช.ถูกยกระดับก้าวล้ำนำหน้าเหนือกว่ากองทุนประกันสังคมชนิด “ไม่เห็นฝุ่น”
บทพิสูจน์ของการนำประเทศและประชาชนคนไทยฝ่าวิกฤตไวรัสโควิด-19 ในช่วงปี 2563-65 ที่ผ่านมานั้นสะท้อนให้เห็นบทบาทความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง กสทช.กับระบบสาธารณสุขไทยได้เป็นอย่างดี
จึงไม่แปลกที่จะมีการนำเสนอ “โมเดล” ให้โอนสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนจากกองทุนประกันสังคมไปอยู่กับกองทุนบัตรทอง สปสช.แต่อย่างใด

แต่หากกองทุนประกันสังคมยังคงยืนยันที่จะคงสิทธิรักษาพยาบาลของกองทุนเอาไว้ โดยจะหาแนวทางยกระดับสิทธิรักษากันอย่างไรถึงจะไปเทียบชั้นสิทธิบัตรทอง หรือเหนือกว่าได้ ก็คงต้องแนะนำผู้บริหารและบอร์ดกองทุนประกันสังคมเอาไว้ตรงนี้ด้วยความปรารถนาดีตรงนี้ว่า ก็ลองยกคณะไปปรึกษาท่านประธาน “หมอไห่” แห่ง กสทช.นั่นแหล่ะ รับรองไม่ผิดหวังอย่างแน่นวล!!!!