ไม่แปลกใจเลยกับที่ถนนทุกสายต่างพุ่งเป้าไปยัง 2 หน่วยงานของรัฐ
คือ “กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)” และโดยเฉพาะ “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” หรือ “กสทช.” ที่น่าจะเป็น “เจ้าภาพหลัก” ของการเตือนภัยในยามที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤติภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือ สึนามิ
แต่ไม่รู้ 2 หน่วยงานรัฐประสานงานกันอิท่าไหน กว่าที่ข้อความ SMS ข้อความแรกจะถูกส่งไปถึงมือประชาชน (ในวงจำกัด) ก็ปาเข้าไปในเวลา 14.44 น.หรือกว่า 1 ชั่วโมงเศษหลังเกิดเหตุไปแล้ว ทั้งที่เหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 13.20 น.โน้นแล้ว…!?!
แปลให้เข้าใจง่ายๆ หากผู้คนที่ติดอยู่บนตึก บนอาคารสำนักงานทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น (รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากโซเชียล แชทไลน์ที่พูดคุยกันเอง) จะต้องรอคำสั่งว่าต้องอพยพก่อนตึกถล่มหรือไม่ ก็แปลว่าทุกคนคงตายไปหมดแล้ว หรือหากเป็นภูเขาไฟระเบิด สึนามิหรือน้ำป่าไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนก็แปลว่าไม่มีใครเหลือรอดนั่นแหล่ะ
เพราะในสถานการณ์วิกฤตนั้น “ทุกวินาที” ล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้าย
หากประเทศไทยเรามีระบบการเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ เราอาจไม่เกิดความสูญเสียชีวิตผู้คนเลยแม้แต่น้อย

แต่การที่ระบบ “เตือนภัย” ของไทยเราล่าช้ายิ่งกว่า “เต่ายังเรียกพ่อ” เช่นนี้ จึงไม่แปลกใจที่ “นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร” ถึงกับ “ควันออกหู” ออกมาตำหนิรักษาการเลขาการ กสทช.และอธิบดี ปภ. ระหว่างการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ยิ่งเมื่อไล่เบี้ยไปถึงสาเหตุที่หน่วยงานรัฐทั้ง ปภ.และ กสทช.ออกคำเตือนภัยหรือส่งข้อความ SMS ล่าช้าอืดเป็นเรือเกลือชนิดที่ “เต่ายังเรียกพ่อ” จนทำให้ให้ผู้คนไปรับรู้เรื่องราวเอาจากโซเชียล และแชทไลน์กันเอง ก็กลับไม่สามารถหาคำตอบใดๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ โดยเฉพาะ กสทช.
ทั้งๆ ที่ตัวประธาน กสทช.คือ “ศาสตราจารย์คลินิกสรณ บุญใบชัยพฤกษ์” ก็นั่งอยู่ในที่ประชุมร่วม และเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องรับผิดชอบในความล้มเหลวที่เกิดขึ้นโดยตรง
จนล่าสุดวันนี้ (31 มี.ค.) นายกฯ แพทองธาร ได้ตัดสินใจสั่งตัดขั้นตอนการประสานกับ กสทช.ออกไป หลังจากรอมา 3 วันแล้วก็ยังไม่ได้รับ SMS เตือนภัยแผ่นดินไหวใดๆ
พร้อมมอบหมายจากนี้ไปให้กรมอุตุฯ ส่งข้อมูลแผ่นดินไหวตรงไปยัง ปภ.แล้วส่งข้อความเข้าค่ายมือถือโดยตรง
ตอกย้ำให้เห็นว่ารัฐบาลและประชาชนคนไทยไม่อาจจะพึ่งพาหน่วยงาน กสทช.ได้

ทุกฝ่ายมาถึงบางอ้อ เมื่อ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กสทช.ออกมาโพสต์ FB ถึงมูลเหตุที่ กสทช.ไม่สามารถทำอะไรได้มาก เพราะมีหนังสือสั่งการจากประธาน กสทช.ว่า หาก กสทช.จะให้สำนักงาน กสทช.หรือเลขาธิการ กสทช.ทำอะไร ต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากประธาน กสทช. เสียก่อน หากสำนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ กสทช.รายใดฝ่าฝืนดำเนินการโดยพลการจะต้องถูกลงโทษทางวินัย




เป็นการ “สาดน้ำเข้ากองไฟ” เรียกแขกให้ทัวร์ลง กสทช.อย่างหนักทำให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ถึงต้นคอของปัญหาที่ทำให้การทำงานของ กสทช.อืดเป็นเรือเกลือทุกกิจกรรมที่ต้องทำงานร่วมกับองค์กรอื่นๆ ต้องขออนุมัติและรอให้ท่านประธานกสทช.มอบหมายเท่านั้น
หากเป็นต่างประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลี หรือยุโรปนั้น การที่ กสทช.ด้วยกันออกมา “ลากไส้” ปมปัญหาที่ทำให้ขั้นตอนการปฏิบัติงานของ กสทช.และสำนักงาน กสทช.เกิดปัญหาคอขวดขึ้นภายในจากคำสั่งของประธาน กสทช.ที่รวบอำนาจไว้เบ็ดเสร็จในมือขนาดนี่ เราคงได้เห็น ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานออกมาโค้งคำนับขอโทษกับความอัปยศที่เกิดขึ้นกันไปแล้ว
แต่กับ “หมอไห่-ประธาน กสทช.” ผู้นี้กลับตรงข้าม ไม่เพียงจะหลบลี้หนีหน้าหายเข้ากลีบเมฆแล้ว ยังคงไม่สะทกสะท้านไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบหรือขอโทษสังคมใดๆ ไม่คิดที่จะเรียกประชุมบอร์ด กสทช.หรือเป็นเจ้าภาพจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกัน “ถอดบทเรียน” ปัญหาที่เกิดขึ้น…?!?
ราวกับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับองค์กร กสทช.และตัวประธาน กสทช.แม้เแต่น้อย จนผู้คนออกมาสัพยอก “หมอไห่-ประธาน กสทช.ผู้นี้ต่างหากคือคนที่ไม่รู้สี่รู้แปดของแทร่” !!!
#สืบจากข่าว รายงาน