การประกาศอัตราภาษีศุลกากรชุดใหม่ ของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เมื่อวันพุธที่ 2 เม.ย. มีผลบังคับใช้วันที่ 9 เม.ย. นี้ กำลังกลายเป็น “วิกฤตระดับโลก”
เอ็นโกซี โอคอนโจ-อิเวียลา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก หรือ WTO แสดงความกังวลว่า มาตรการดังกล่าว จะส่งผลให้ปริมาณการค้าทั่วโลก หดตัวราวร้อยละ 1
ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาว่า การที่สหรัฐฯ กำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากร สำหรับสินค้าของญี่ปุ่น ในอัตราร้อยละ 24 ถือเป็นเรื่องน่าเสียใจ และน่าผิดหวังอย่างมาก
ทั้งที่ญี่ปุ่นครองตำแหน่งนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ตั้งแต่ปี 2019 มีเงินลงทุนโดยตรงราว 418 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.43 หมื่นล้านบาท) สร้างงานในสหรัฐฯมากกว่า 2.3 ล้านอัตรา การปรับเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐ จึงไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคี แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และระบบการค้าพหุภาคีด้วย
ขณะที่ “จีน” ออกมาตรการสวนทันควัน ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 34% เริ่มตั้งแต่ 10 เม.ย. นี้
จีนมองว่าการกระทำของสหรัฐ ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรม อย่างร้ายแรง และถือเป็นการกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว
โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน ย้ำว่า ประวัติศาสตร์สะท้อนให้เห็นว่า การปรับขึ้นภาษี ไม่อาจช่วยแก้ปัญหาของสหรัฐ ทั้งยังเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของสหรัฐ และเป็นอันตรายต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลก ไม่มีผู้ใดชนะในสงครามการค้า และนโยบายกีดกันทางการค้า มิได้นำสู่ความสำเร็จ
ด้าน อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป แถลงว่า การประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์ ถือเป็น “แรงกระแทก” ครั้งใหญ่ แต่ยุโรปมี “ไม้เด็ด” ในมือ ที่จะตอบโต้แน่นอน
นักเศรษฐศาสตร์มองว่า มาตรการด้านภาษีของทรัมป์ เหมือน “ดาบสองคม” ถ้าทรัมป์ทำสำเร็จ ถือเป็นแนวทางการค้ารูปแบบใหม่ของอเมริกา แต่ถ้าก้าวพลาด เศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างน่ากลัว
แต่ที่แน่ๆคือ มาตรการของทรัมป์ กำลังทำให้ชาติพันธมิตรถอยห่าง เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ประกาศว่า จะทำงานร่วมกับจีน เพื่อตอบโต้นโยบายการค้าของอเมริกา
หรือว่า “เดิมพัน” ครั้งนี้ จะเข้าทาง “จีน”
