วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 22, 2025
หน้าแรกอาชญากรรมอ.ปานเทพ พาร้านทองกว่า 40 ราย จี้ ตร.สอบถามความคืบหน้าคดี SCT GOLD หลังผ่านไปร่วม 2 เดือน มูลค่าความเสียหายพุ่งกว่า...

Related Posts

อ.ปานเทพ พาร้านทองกว่า 40 ราย จี้ ตร.สอบถามความคืบหน้าคดี SCT GOLD หลังผ่านไปร่วม 2 เดือน มูลค่าความเสียหายพุ่งกว่า 600 ล้านบาท

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 พ.ค.68 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม. อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พร้อมด้วยกลุ่มผู้เสียหายกว่า 40 ราย ที่เคยเข้าแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม และ 18 เมษายน 2568 กรณีถูก บริษัท SCT GOLD (บริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส เทรด จำกัด) ฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ ได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้าของคดี หลังจากการแจ้งความได้ผ่านพ้นไปนานกว่า 1 เดือน โดยมีผู้เสียหายรวมทั้งหมดกว่า 100 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 600 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นร้านทองปลีกโดย

อ.ปานเทพ กล่าวว่า ที่ผู้เสียหายมาวันนี้เพื่อต้องการ

  1. สอบถามความคืบหน้าของคดี เพราะยังพบว่าแอพพลิเคชั่นของร้านยังเปิดทำงานอยู่
  2. ต้องการยื่นคำร้องเพิ่มเติมให้สอบสวนบุคคลเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมต่างๆในการซื้อขายฝากทองคำ /ชักชวนคนมาแต่ลูกค้า 8 คนพร้อมดูเส้นทางการเงิน
  3. หวังว่าสิ่งที่ทางตำรวจเห็นว่าเป็นประโยชน์ต้องการสอบเพิ่มเติมต้องการให้เร่งรัดคดีออกทั้งหมายจับอายัดบัญชีเพื่อบรรเทาความเสียหายเนื่องจากผู้เสียหายมากที่สุดก่อนที่ทรัพย์สินเหล่านั้นจะหายไป

ทั้งนี้พฤติการณ์การฉ้อโกงของบริษัทดังกล่าวแม้จะเปิดทำธุรกิจมานานนับ 10 ปี แต่เพิ่งมาเกิดปัญหาไม่สามารถซื้อทองคำหรือโอนเงินให้ลูกค้าได้เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งทางผู้เสียหายเชื่อว่าผู้บริหารและพนักงานของบริษัทมีการวางแผนเป็นขั้นตอน ไร้ความรับผิดชอบ ความเสียหายเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 13-27 มีนาคม 2568 โดยมีลักษณะแตกต่างกัน บางรายขายทองแต่ไม่ได้รับเงิน ผู้เสียหายได้ส่งมอบทองให้กับบริษัทตามกำหนด แต่ถึงวันนัดรับเงินกลับไม่ได้รับชำระ , บางรายถอนทองคำประกันไม่ได้ ทองคำที่ฝากไว้เป็นหลักประกันไม่สามารถถอนคืนได้ โดยบริษัทอ้างว่าไม่มีทองคำให้ , บางรายนำทองรูปพรรณเก่าไปส่งเพื่อรีไฟน์เป็นทองแท่ง เมื่อถึงวันนัดรับทองแท่งกลับไม่ได้รับทอง เป็นต้น

ทั้งนี้ กลุ่มผู้เสียหายได้รวมตัวกันและทราบภายหลังว่า บริษัท SCT ได้เริ่มไม่จ่ายเงินให้กับลูกค้ารายแรกมูลค่า 116 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2568 แต่บริษัทยังคงดำเนินการรับซื้อทองอย่างต่อเนื่อง โดยจูงใจให้ราคาสูงกว่าราคาตลาดและขอรับทองไปก่อน ทั้งที่ทราบดีว่าสถานะทางการเงินของบริษัทไม่สามารถชำระคืนลูกค้าได้
ที่น่าตกใจคือ SCT นำทองของผู้เสียหายไปขายให้กับโบรกเกอร์รายใหญ่ ก็จะสามารถนำเงินมาชำระคืนผู้เสียหายได้ แต่ทางบริษัทกลับปฏิเสธว่าไม่มีเงินจ่ายคืน และบ่ายเบี่ยงเมื่อถูกขอทองคืนว่าทองไม่มีแล้ว

ลำดับเหตุการณ์คดีนี้ 31 มีนาคม 2568 ผู้เสียหายรวมตัวกันครั้งแรก หลังบริษัท SCT ซึ่งเป็นบริษัทค้าส่งทองคำรายหนึ่งของสมาคมค้าทองคำ ย่านวังบูรพา ประกาศปิดตัวชั่วคราว ก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 400 ล้านบาทตามที่เป็นข่าว

ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 2568 ผู้เสียหายได้รวมตัวพร้อมกับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เพื่อขอให้อาจารย์ปานเทพเป็นตัวแทนผู้เสียหายในการออกสื่อเรียกร้องความยุติธรรม

ตลอดช่วงเดือนเมษายน-ปัจจุบัน บริษัท SCT ได้ติดต่อลูกค้าหลายรายให้เซ็นเอกสารไม่ดำเนินคดีทางแพ่งและอาญากับบริษัท โดยอ้างว่าจะโอนเงินคืน แต่เท่าที่กลุ่มผู้เสียหายทราบ เป็นเพียงการโอนคืนรายย่อยเพียงเล็กน้อย เสมือนเป็นการเยียวยาเพื่อสร้างหลักฐานว่าได้บรรเทาความเสียหาย เพื่อเปลี่ยนคดีอาญาเป็นคดีแพ่ง

อาจารย์ปานเทพและกลุ่มผู้เสียหายมีความเคลือบแคลงสงสัยว่าการกระทำของบริษัทน่าจะมีเจตนาฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ ด้วยเพราะมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน โดยตั้งใจวางแผน เร่งส่งทอง เชิญชวนซื้อทองขายทองด้วยโปรโมชั่นต่างๆ ก่อนจะปิดบริษัทไป

ผู้เสียหายตั้งข้อสังเกตต่อการบริหารงานของบริษัท SCT ว่า เจตนาเร่งรัดการส่งทอง แม้จะรู้ตัวว่าไม่สามารถจ่ายเงินและส่งคืนทองได้ แต่บริษัทกลับมีเจตนาให้พนักงานโทรศัพท์ชวนเร่งส่งทองและส่งเงิน , บ่ายเบี่ยงการคืนเงินและทอง หลังจากประกาศปิดบริษัทได้แจ้งให้รอโดยไม่สามารถระบุเวลาคืนได้ อ้างแต่เพียงว่ารอประชุมผู้บริหาร , ตัดขาดการติดต่อตั้งแต่เดือนเมษายน บริษัทเริ่มแสดงเจตนาไม่รับผิดชอบ โดยมีการตัดขาดการติดต่อกับลูกค้าบางรายที่มียอดหนี้สูง

กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท SCT ทั้งสามคน ได้แก่ นายพิพัฒน์ (ร้านทองแสงมณี โคราช), นายอศุพล (ร้านทองมังกรคู่ ราชบุรี) และ นายนวคุณ (ร้านทองสมนึก นครปฐม) ได้อ้างว่าบริหารงานผิดพลาด แต่ผู้เสียหายไม่เชื่อว่าจะเป็นการบริหารงานผิดพลาดจนนำไปสู่การขาดสภาพคล่อง เนื่องจากทุกอย่างมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายในการเอาผิดของผู้เสียหาย แต่การกระทำส่อไปในเจตนาให้ได้มาซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นโดยไม่สุจริต ซึ่งถือเป็นการจงใจในการกระทำผิด

ผู้เสียหายที่ประกอบอาชีพสุจริตได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก และเรียกร้องให้บริษัทออกมาชี้แจงต่อสาธารณชนว่าจะแก้ไขและรับผิดชอบอย่างไร เนื่องจากไม่สามารถติดต่อทีมบริหารและคณะกรรมการของบริษัทได้เลย

สำหรับการดำเนินคดี หลังจากผู้เสีบหายแห่แจ้งความ พงส.บก.ปคบ.เมื่อ 31 มีนาคมแล้ว พล.ต.ต. พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ.เปิดเผยว่า พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เซ็นกับคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนทำคดีนี้ประกอบด้วยพนักงานสอบสวน บก.ป. บก.ปอศ. และ บก.ปคบ. โดยมี พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก.เป็นหัวหน้าคณะฯ กำลังดำเนินการเร่งรัดรวบรวมพยานหลักฐานอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าพนักงานสอบสวนต้องใช้ระยะเวลาในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจำนวนมาก ผู้เสียหายบางรายที่เป็นนิติบุคคลจึงได้มอบทนายยื่นฟ้องศาลแขวงดุสิต เมื่อ 7 พ.ค.68 เอาผิดทางอาญาบริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส เทรด จำกัด กับผู้บริหาร 3 คน ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 24 มิ.ย.68 เวลา 13.00 น.

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts