นางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏสถานการณ์ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชนที่ใช้น้ำจากแม่น้ำดังกล่าว ทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภคและการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งสภาพปัญหา ข้อพิจารณา และข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนกรณีดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์การปนเปื้อนมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ทองคำและแร่แรร์เอิร์ธของบริษัทเอกชนที่ไม่ทราบสัญชาติ บริเวณต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสายในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ในเขตปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์ว้า มีการสกัดแร่ด้วยสารเคมีอันตราย ทำให้มีดินและกากแร่ปนเปื้อนโลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม ปรอท) ชะล้างลงสู่แม่น้ำสายหลัก และไหลเข้าสู่ประเทศไทย ส่งผลให้คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเสื่อมโทรมลงอย่างมาก
การได้รับสารหนูสะสมในร่างกายอย่างต่อเนื่องแม้ในปริมาณน้อย จะนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงทางสุขภาพ อาทิ การเกิดโรคผิวหนัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย โรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ภาวะความจำเสื่อม ตลอดจนส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสติปัญญาในเด็ก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือการคลอดก่อนกำหนดในสตรีมีครรภ์
กสม. เห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลที่จะดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพ และมีความยั่งยืน และต่อสิทธิในการมีมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ โดยเฉพาะสิทธิในอาหารและน้ำ ตามข้อ 11 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) รวมทั้งต่อสิทธิในการมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์สูงสุด ตามข้อ 12 ของ ICESCR เนื่องจากการปนเปื้อนของสารพิษทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาดและอาหารที่ปลอดภัยได้ สถานการณ์นี้ยังซ้ำเติมและขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบาง และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่ หากสถานการณ์นี้ไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน จะส่งผลให้ต้นทุนค่าครองชีพของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดภาระทางการคลังในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขภาพของประชาชนในระยะยาว
กสม. เห็นว่าปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของประชาชน และมีแนวโน้มแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษในลุ่มน้ำกก (แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันปัญหาขยายตัวสู่ลุ่มน้ำโขงซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง จึงเห็นสมควรนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของ กสม. ให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุด ดังต่อไปนี้
(1) มาตรการภายในประเทศ
(1.1) ให้กรมควบคุมมลพิษ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในพื้นที่เสี่ยง เปิดเผยผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมและข้อมูลความเสี่ยงต่อสุขภาพแก่สาธารณชนอย่างสม่ำเสมอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนที่เหมาะสม รวมทั้งพัฒนาระบบการเตือนภัยให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง
(1.2) ให้กระทรวงสาธารณสุข (โดยกรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด) ตรวจสุขภาพและคัดกรองโรคที่อาจเกิดจากโลหะหนัก (โดยเฉพาะสารหนู) ให้แก่ประชากรเสี่ยงในพื้นที่อย่างเร่งด่วนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลสุขภาพเพื่อติดตามผลในระยะยาวอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
(1.3) ให้การประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย เร่งจัดหาน้ำดื่มสะอาดสำรองสำหรับประชาชนในพื้นที่ประสบภัย และวางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบที่ปลอดภัย พร้อมทั้งพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุม
(1.4) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลกระทบเบื้องต้นต่อภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว และกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเฉพาะหน้าแก่ผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพแก่ผู้ได้รับผลกระทบ
(1.5) สนับสนุนงบประมาณสำหรับการขจัดสารพิษและฟื้นฟูแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และพืชพรรณริมตลิ่ง เพื่อเสริมสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ
(1.6) ให้คณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือเป็นหน่วยประสานงานหลัก และเสนอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) แต่งตั้งหรือปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำระดับจังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้แทนจากภาคประชาสังคม ภาคประชาชน นักวิชาการ และหน่วยงานภาครัฐ ในสัดส่วนที่เหมาะสมและสมดุล โดยให้คณะอนุกรรมการข้างต้นจัดทำแผนปฏิบัติการของจังหวัด โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่ระดับชุมชน ลุ่มน้ำ จนถึงระดับชาติ ตามหลักธรรมาภิบาลน้ำ (Water Governance) และดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อ (1.1) – (1.5)
(2) มาตรการระหว่างประเทศ
ให้กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เร่งดำเนินการเจรจากับประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ เพื่อให้ยุติการประกอบกิจการเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุของมลพิษโดยเร็วที่สุด โดยใช้กลไกความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาคที่มีอยู่ รวมทั้งผลักดันให้รัฐเจ้าของสัญชาติของบริษัทแม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs)
นอกจากนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลักดันให้ประเทศในภูมิภาคกำหนดแนวทางความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิผล รวมถึงให้ประเทศในภูมิภาคพัฒนากฎหมายภายในเพื่อรองรับการจัดการ ป้องกัน และเยียวยาผลกระทบจากปัญหามลพิษข้ามพรมแดน





