เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 มิ.ย.68 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม. นางอรนุช ผลภิญโญ ฝ่ายการศึกษา สหภาพคนทำงานต่างประเทศแห่งประเทศไทย ( MWUT ; migant workers union of thailand) พร้อม ตัวแทนผู้เสียหายชาวบ้านจากจังหวัดต่างๆทางแถบภาคอีสาน เช่น ชัยภูมิ ขอนแก่น อุดรธานี จำนวน 20 คน เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปคม. เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ และแจ้งความกรณีถูกหลอกลวงแรงงานไปทำงานต่างประเทศ ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ เหตุเกิดระหว่างปี 2566-2568 ซึ่งมีผู้เสียหายถูกหลอกไปจำนวนกว่า 80 ราย มูลค่าความเสียหาย กว่า 10 ล้านบาท
เมื่อ ก.ย.67 ทางสหภาพฯ ได้รับข้อมูลมาว่า มีชาวบ้านในหลายหมู่บ้านทางแถบภาคอีสานหลายจังหวัดถูกหลอกไปทำงานเป็นแรงงานในต่างประเทศทั้งออสเตรเลียและสวิตเซอร์แลนด์จึงลงไปหาข้อมูลทราบว่ามี บริษัททัวร์เอกชนแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี ลงไปติดต่อเป็นนายหน้า หาคนงานไปทำงานในต่างประเทศ โดยเรียกค่าทำวีซ่าและค่าบริการอื่นๆรายละ 50,000-100,00 บาท หลอกว่าจะมีงานเกษตรกรรมให้ทำโดยมีค่าตอบแทนรายได้สูงตกเดือนละ 100,000 บาท ชาวบ้านทราบข่าวและบอกต่อๆกันจนมีผู้หลงเชื่อเบื้องต้นมี คนสมัครไปออสเตรเลีย 2 ราย สมัครไปสวิตเซอร์แลนด์ 80 ราย
ทางสหภาพฯ เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เพราะผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นแรงงาน ในภาคเกษตร ที่อยู่ในจังหวัดต่างๆ ทางแถบภาคอีสาน ที่ถูกหลอกลวงมาต่อเนื่องกันนอกเหนือจากผู้เสียหายกลุ่มนี้ด้วย
จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่ามีทั้งเครือญาติของผู้เสียหายเอง รวมทั้งยังพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งอยู่เบื้องหลังการหลอกลวงไปทำงานในต่างประเทศครั้งนี้ โดยแอบอ้างบริษัทอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย
ทางชาวบ้านที่สมัครไปทำงานในต่างประเทศแทบทุกรายจะไม่มีเงินออมเก็บจึงต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการยื่นเรื่องขอวีซ่ารวมทั้งกระบวนการที่จะเดินทางไปทำงานจนสร้างปัญหาเป็นหนี้ บางรายถึงขั้นถูกยึดบ้านหรือที่ดิน
ทางสหภาพฯ มองเห็นว่าปัญหาชาวบ้านถูกหลอกลวงไปทำงานเป็นแรงงานต่างประเทศทางกระทรวงแรงงานจะต้องให้ความสำคัญในการช่วยเหลือ แม้ทางสถานีตำรวจภูธรต่างๆที่รับแจ้งความจากชาวบ้านผู้เสียหายแล้วก็ตามแต่ยังไม่มีความคืบหน้าในการที่จะดำเนินคดีกับกลุ่มผู้หลอกลวงเหล่านี้ ดังนั้นวันนี้ทางสหภาพจึงต้องมาร้องขอความช่วยเหลือจากกองบัญชาการสอบสวนกลาง เพราะเรามองเห็นว่ากระบวนการเหล่านี้จะนำไปสู่การฟอกเงินและการค้ามนุษย์
นางศรีนวล (สงวนนามสกุล) อายุ 60 ปี ชาวบ้าน จ. ชัยภูมิ อาชีพทำไร่ เปิดเผยว่า เมื่อ ก.ย.ปี 66 สามีจะไป ทำงานที่ เกษตรกรรมที่ ประเทศออสเตรเลีย มีเพื่อนที่ทำนาทำไร่อยู่ด้วยกันบอกว่ามีบริษัททัวร์เค้าจะรับคนงานไปทำงานจึงสนใจแต่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย 5 หมื่นบาท จึงไปยืมเพื่อนบ้านมาจ่ายก่อน มาจ่ายเมื่อ 14 มิ.ย.67 พอจ่ายเงินปุ๊บทางบริษัทก็ยกเลิกสัญญาทันที โดยไม่ยอมคืนเงินจึงไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูเขียว ภ.จว.ชัยภูมิ เมื่อ 28 ก.ย.67 แต่ปรากฏว่าผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าใดใดจึงได้ร้องขอความช่วยเหลือจากทางสหภาพให้พามาพบตำรวจในวันนี้
นางธัญญาภรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี ชาว จ. ชัยภูมิ อาชีพรับจ้างกรีดยาง ทราบ เปิดเผยว่าเมื่อปี 2566 ตนทราบข่าวจากเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกันว่ามี นายตำรวจยศ พ.ต.ท. รายหนึ่งอยู่ ฝ่ายสืบสวน ภ.จว. นครราชสีมา สามารถพาไปทำงานที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อ้างว่าถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่ต้องผ่านกรมแรงงาน โดยพาไปวีซ่านักท่องเที่ยวสามเดือนหลังจากนั้นจะเปลี่ยนให้ทำงานได้ต่อเนื่องสองปี โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำวีซ่าและอื่นๆรวมแล้วคนละ 1-1.3 แสนบาท ตอนอยากไปทำงานแต่ไม่มีเงินเก็บออมจึงต้องไปกู้หนี้มาจ่าย รอเป็นเวลานานไม่สามารถที่จะเดินทางไปได้สุดท้ายก็นัดที่จะคืนเงินแต่ก็ผ่อนมาตลอดจนวันที่ 8 เมษายนจึงตัดสินใจไปแจ้งความที่ สภ. ห้วยยาง ภ.จว. ชัยภูมิ พนักงานสอบสวน สอบปากคำในฐานะผู้เสียหาย และพยามโน้มน้าวว่าเป็นคดีฉ้อโกงทั่วไป ไม่ยอมทำเป็นเป็นคดีฉ้อโกงประชาชนซึ่งมีผู้เสียหายจำนวนมาก พยายามโน้มน้าวผู้เสียหาย ก่อนจะมีหมายเรียกให้ อดีตนายตำรวจรายนี้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดใดจึงรวมตัวกันมาร้องขอความช่วยเหลือจากกองชาการตำรวจสอบส่วนกลางในวันนี้
นางศรีนวล สงวนนามสกุล อายุ 45 ปี แม่ค้าขายหมากพลูในตลาด ชัยภูมิ กล่าวน้ำตานองหน้าว่าเมื่อปี 66 เพื่อนแม่ค้าขายผลไม้ในตลาดด้วยกันมาบอกว่ามีนายตำรวจใหญ่ของภาค สามารถพาคนงานไปทำงานเก็บผลไม้ที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ เงินเดือนเดือนละ 1 แสนบาท เกิดความสนใจแต่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำพาสปอร์ตขอวีซ่าตรวจร่างกายตรวจประวัติก่อนจำนวน 50,000 บาท จึงนำที่นาที่มีอยู่ 10 กว่าไร่ไปจำนองได้เงินมา 40,000 ก่อนจะไปยืมเงินญาติพี่น้องมาอีก 10,000 ให้กับกลุ่มที่มารับสมัครงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปทุกวันนี้ไม่มีนาให้ทำไม่มีเงินทุนที่จะไปซื้อหมากพลูมาขายต้องอยู่อย่างแล้งแค้น
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายก่อนจะ รับหนังสือร้องเรียนถึงผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณา หาทางช่วยเหลือต่อไป

















