“สิ้นคิด!! ประจานตัวเอง” ออกสื่อ
จาก ‘พี่ชายฮุนเซ็น’
กลายเป็น ‘หมูให้เขมรขย้ำ’
สุดท้ายประเทศไทยได้อะไร?
🧨 ทักษิณ “เปิดแผลตัวเอง” หรือ “แค่โยนบาปกลางสื่อดัง”? เกมลวงล่อความเห็นใจ เปิดศึกฮุนเซ็น–แฉวงใน–กลบข่าวฉาวพรรคตัวเอง?
จากพี่น้องกลายเป็นปฏิปักษ์–จากผู้ลี้ภัยกลายเป็นคนชี้นิ้ว–แล้วใครควรรับผิดชอบความเสียหายของชาติ?
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถาโถมต่อรัฐบาลเพื่อไทยจากกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนและเศรษฐกิจนอกระบบที่เติบโตอย่างไร้การควบคุม ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับออกมา “เปิดปาก” แบบที่หลายคนมองว่า คือการเบี่ยงเบนความสนใจ–สร้างภาพเป็นเหยื่อ–และตอกย้ำว่าอำนาจยังอยู่ในมือเขา
คำพูดว่า “เสียหายทั้งยูและไอ” ที่เขาส่งถึง สมเด็จฮุนเซ็น อดีตผู้นำกัมพูชา ไม่ได้สะท้อนความกล้าหาญทางการเมือง แต่ถูกตีความว่าเป็น การยอมรับโดยปริยายว่าครั้งหนึ่งเคยร่วมผลประโยชน์กันมา และเพิ่งแตกคอกันเท่านั้น

💥 “อยากได้อะไรก็ขอ”
คำพูดของ “นายกฯหญิง” ที่อาจแลกอธิปไตยเพื่อความสัมพันธ์ส่วนตัว?
วลี “อยากได้อะไรก็ขอ” ซึ่งปรากฏในคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนปัจจุบัน กับ สมเด็จฮุนเซ็น กลายเป็นประเด็นร้อนที่หลายฝ่ายมองว่า ไม่ใช่แค่คำสนทนาธรรมดา หากแต่เป็น คำสารภาพ ว่ามี “การต่อรองผลประโยชน์” ระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้นำเพื่อนบ้านมาก่อนหน้านี้หรือไม่?
แหล่งข่าวสายความมั่นคงตั้งข้อสังเกตว่า หากคลิปเสียงฉาวนี้ไม่ถูกปล่อยออกมาโดยสมเด็จฮุนเซ็นเอง คนไทยอาจไม่มีวันรู้ว่า หัวหน้ารัฐบาลไทยพูดกับต่างชาติในเชิง “เปิดกว้างอย่างผิดปกติ” ถึงขั้นที่แปลความได้ว่า “อยากได้อะไรก็แค่บอก”
คำถามที่สั่นสะเทือนวงการความมั่นคงคือ:
“นี่คือการเจรจาระดับผู้นำหรือการยื่นเช็คเปล่าให้ต่างชาติ?”
การที่คำพูดเช่นนี้หลุดจากปากของ นายกรัฐมนตรีหญิง ผู้เป็นลูกสาวของทักษิณ ในช่วงเวลาที่พ่อของเธอยังคงมีบทบาทเบื้องหลังทางการเมือง จึงไม่เพียงกระทบต่อภาพลักษณ์รัฐบาลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง วัฒนธรรมการบริหารอำนาจที่เอื้อผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างโจ่งแจ้ง

“โกหกคำโต – ความย้อนแย้งที่เปิดแผลตัวเอง”
จุดหนึ่งที่แสดงถึงความย้อนแย้งในคำพูดของนายทักษิณอย่างชัดเจน คือประเด็น “พื้นที่ทับซ้อนบริเวณเกาะกูด” ซึ่งในอดีต นายทักษิณเคยให้สัมภาษณ์สื่อว่า “พื้นที่ตรงนั้นแบ่งกันคนละ 50:50 ไทยกับกัมพูชา” โดยใช้คำว่า “เราตกลงกันแล้ว”
ทว่า ล่าสุด ในการให้สัมภาษณ์ออกสื่อไทย นายทักษิณกลับเปลี่ยนคำพูดอย่างสิ้นเชิงว่า “ตรงนั้นเป็นของไทย” และกล่าวหาว่าอีกฝ่ายขยับกำลังพลเข้ามาอย่างไม่เหมาะสม — กลายเป็นว่าความตกลง “50:50” ที่เขาเคยพูดไว้ ถูกลบล้างโดยคำพูดของเขาเอง
นักวิชาการและสื่อมวลชนบางคนตั้งข้อสังเกตว่า การพูดเรื่อง “เกาะกูดเป็นของไทย” ในตอนนี้ อาจเป็นการพยายามสร้างกระแสชาตินิยม เพื่อกลบคำพูดเดิมที่อาจเข้าข่าย “ยอมแลกอธิปไตย” ในอดีต ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดูคลิปหรือรายงานเก่า ๆ จะพบว่า นายทักษิณเคยให้ความเห็นในลักษณะประนีประนอมกับเขมรอย่างชัดเจน
ข้อเท็จจริงที่ย้อนแย้งนี้ ทำให้สื่อหลายสำนักตั้งคำถามว่า “ทักษิณกำลังพูดเพื่อปกป้องชาติ หรือเพื่อปกป้องตัวเอง?” และ “เขามีสิทธิ์อะไรที่จะไปต่อรองอธิปไตยในนามของประเทศไทยโดยไม่ผ่านกระบวนการรัฐ?”
😡 เกม “แฉตัวเอง” คือการสร้างกระแส–ลบภาพลบ?
นักสื่อสารมวลชนอาวุโสอย่าง สุทธิชัย หยุ่น ระบุชัดว่า คำพูดของทักษิณในรายการนั้นไม่ใช่การเปิดโปง แต่คือ การ “ประจานตัวเองอย่างสิ้นคิด” และเป็นความพยายามจะชิงพื้นที่สื่อหลังจากเกิดกระแสไม่ไว้วางใจในรัฐบาลเพื่อไทย
หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า ทักษิณแค่ “ดึงไฟฉาย” จากเรื่องใหญ่ที่กำลังคุกรุ่น ทั้งการโยกงบ ส่อผลประโยชน์ กระทรวงเสี่ยงทุจริต และเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบที่รัฐบาลภายใต้เงาของเขาจัดการไม่ได้
🔍 เผยเบื้องหลังเครือข่าย “ไข่” แห่งอำนาจ
ประโยค “วางไข่–ออกไข่–เก็บไข่” ที่ทักษิณใช้ อาจฟังดูเป็นการวิพากษ์ระบบ แต่แท้จริงคือ คำบรรยายระบบอุปถัมภ์ที่เขาเคยใช้–และยังคงใช้ผ่านลูก–พรรค–และพรรคร่วมรัฐบาล
การที่เขาวิจารณ์ พรรคภูมิใจไทย ว่าไม่คืนกระทรวงมหาดไทยให้พรรคเพื่อไทย ก็สะท้อนว่า “ตำแหน่งคือเครื่องมือ–ไม่ใช่หน้าที่” และการเมืองคือ “ธุรกิจส่วนตัว” สำหรับเขา
⚠️ เศรษฐกิจเถื่อน: พูดวันนี้…แต่ทำไมเพิ่งพูด?
แม้ทักษิณจะแฉเครือข่ายฟอกเงิน–คอลเซ็นเตอร์–หวยออนไลน์–แรงงานเถื่อน แต่คำถามที่ทุกคนสงสัยคือ:
“ถ้ารู้มานานขนาดนี้ ทำไมเพิ่งพูด?”
หากแต่เป็นการพูดเพราะแตกคอ ไม่ใช่พูดเพราะห่วงชาติ?
เครือข่ายอาชญากรรมที่เขาโยงกับฮุนเซ็น หลานชาย และทุนจีน มีมาแล้วนับสิบปี และเกิดขึ้นช่วงที่พรรคใกล้ชิดกับเขามีอำนาจ ทำไมรัฐไม่เคยจัดการ? หรืออาจไม่กล้าจัดการ?
🎭 “หลับ” หรือ “แกล้งโกหก”? ประชาชนไม่ลืม
คำอ้างว่า “ฮุนเซ็นหลับ” ไม่สามารถพูดคุยกับลูกสาวได้ในตอนแรก ถูกแหล่งข่าวแย้งว่า เป็น “คำโกหกคำโต” ที่จงใจบิดเบือนความจริง เพื่อกลบคลิปเสียง และหลบคำวิจารณ์ที่รุมเร้าในโซเชียล
หลายคนเปรียบว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทักษิณพูดขัดแย้งกับหลักฐาน และพฤติกรรมนี้สะท้อนถึงความพยายามสร้างภาพและชี้นำความเชื่อคนไทยผ่านสื่อที่ยังให้พื้นที่เขาโดยไม่ตรวจสอบต้นทาง
📉 ความน่าเชื่อถือถล่มพังทะลาย : ผู้นำในเงามืดที่ไร้ความรับผิด
ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคประชาชน ชี้ว่า “คำพูดของทักษิณในทุกวรรคตอนไม่ใช่วิสัยทัศน์ แต่มันคือ คำแก้ตัวของคนที่ไม่เคยรับผิดชอบอะไรเลย และไม่ยอมปล่อยมือจากอำนาจ”
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ย้ำว่า “ถ้าเขายอมรับว่ามีอำนาจเบื้องหลัง ก็ต้องถูกตรวจสอบ ไม่ใช่ใช้สื่อพูดเอง–ลอยตัวจากความผิด”
เราเชื่อใครได้อีก?
ในประเทศที่ความยุติธรรม–ความโปร่งใส–และหลักธรรมาภิบาลกำลังถูกกลืนหาย
ในเวลาที่คนพูดโกหกได้โดยไม่รับโทษ
ในยุคที่ผู้นำลี้ภัยกลับมาเป็นผู้นำเงาในรัฐบาล…
เราจะเชื่อใคร?
และประชาชนไทย ต้องตกอยู่ในภาพการยอมรับการ “เล่นละครการเมือง” เหล่านี้อีกนานแค่ไหน?