วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 27, 2025
หน้าแรกคอลัมนิสต์วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตรวิรุตม์ ชี้ วงจรอุบาทว์กัดกินประเทศ

Related Posts

วิรุตม์ ชี้ วงจรอุบาทว์กัดกินประเทศ

จากวาทะ “องค์กรอาชญากรรม” สู่ปริศนา “สินบน 100 ล้าน” เบื้องลึกวงจรอุบาทว์สีกากีที่ถูกเพิกเฉย หรือความยุติธรรมเป็นเพียงฉากบังหน้า?

เมื่อศักดิ์ศรีของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” กำลังถูกท้าทายด้วยความจริงที่น่าสะพรึงกลัว ตั้งแต่พฤติกรรมกร่างข้างถนน การตั้งด่านรีดไถ ไปจนถึงข้อครหาฉาวโฉ่ระดับชาติที่ระบุว่าองค์กรตํารวจอาจเป็น “องค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ” คำถามสำคัญที่สังคมต้องขบคิดคือ เรากำลังฝากความหวังไว้กับระบบที่ล้มเหลวหรือไม่? ร่วมเจาะลึกเบื้องหลังความเน่าเฟะที่ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ออกมากะเทาะเปลือกชนิดไม่ไว้หน้าใคร!

จาก “จอดรถไม่ดับเครื่อง” สู่ความกร่างที่สะท้อน “กมลสันดาน”

เริ่มต้นด้วยเรื่องราวที่ดูเหมือนเล็กน้อยแต่สะท้อนธาตุแท้ของระบบ กรณีคลิปฉาวที่นครสวรรค์ ตำรวจปะทะคารมแม่ค้าเพียงเพราะถูกเตือนเรื่อง “จอดรถติดเครื่อง” พ่นควันพิษใส่ชาวบ้าน แทนที่จะละอายแก่ใจในฐานะผู้รักษากฎหมาย กลับกลายเป็นภาพสะท้อนของการใช้อำนาจข่มขู่ประชาชน พ.ต.อ.วิรุตม์ ชี้ชัดว่า การจอดรถแช่โดยไม่ดับเครื่อง นอกจากจะผิดกฎหมายจราจรและสร้างมลพิษแล้ว ยังผิดวินัยร้ายแรงในแง่ของการ “ประพฤติตนไม่เหมาะสม” คำถามคือ ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐจึงกล้าแสดงอำนาจบาตรใหญ่ใส่คนที่จ่ายภาษีเลี้ยงดูพวกเขา? หรือเครื่องแบบทำให้พวกเขาลืมคำว่า “จิตสำนึก” ไปแล้ว?

วาทะสะเทือนแผ่นดิน: เมื่อตำรวจถูกตราหน้าว่าเป็น “องค์กรอาชญากรรม”

ประเด็นร้อนที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อ “รองโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ออกมาทิ้งระเบิดลูกใหญ่ วิจารณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จนนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดี แต่ พ.ต.อ.วิรุตม์ ตั้งข้อสังเกตเชิงกฎหมายที่น่าสนใจว่า หากสิ่งที่พูดเป็น “ความจริง” และเป็นการติชมโดยสุจริต จะถือว่าหมิ่นประมาทได้อย่างไร?

ในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่ามีตำรวจนับร้อยนายเข้าไปพัวพันกับเว็บพนัน รับส่วยสินบน ตามนิยามของพจนานุกรม หากมีการรวมตัวทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ย่อมเข้าข่ายคำว่า “ซ่องโจร” หรือองค์กรอาชญากรรมมิใช่หรือ? การฟ้องร้องที่เกิดขึ้น เป็นการปกป้องศักดิ์ศรีองค์กร หรือเป็นการพยายาม “ปิดปาก” ความจริงที่สังคมรู้อยู่เต็มอก?

ปริศนา “สินบน 100 ล้าน” ที่เงียบหายไปกับสายลม

สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าวาทะกรรม คือข้อมูลที่ “รองโจ๊ก” เปิดเผยว่า เคยมีอดีต ผบ.ตร. เสนอเงินถึง 100 ล้านบาท เพื่อให้ยุติการสอบสวนคดีสำคัญ นี่คือคำสารภาพจากประจักษ์พยานที่ยืนยันว่า “การซื้อขายความยุติธรรม” มีอยู่จริงในระดับยอดพีระมิด!

แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ หน่วยงานตรวจสอบอย่าง ป.ป.ช. หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี กลับนิ่งเฉย ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะลากคอ “บิ๊กสีกากี” รายนั้นมาลงโทษ ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง สังคมต้องถามดังๆ ว่า “ใคร” คืออดีต ผบ.ตร. ผู้นั้น และทำไมกระบวนการยุติธรรมไทยถึงไม่กล้าแตะต้อง?

วงจรอุบาทว์: ซื้อตำแหน่ง  ถอนทุนคืน  ตั้งด่านรีดไถ

พ.ต.อ.วิรุตม์ กางแผนผังความเน่าเฟะให้เห็นชัดเจน เมื่อการ “ซื้อขายตำแหน่ง” ยังคงมีอยู่ การ “ถอนทุนคืน” จึงเป็นไฟลต์บังคับ นำไปสู่การตั้งด่านลอย ด่านเถื่อน โดยเฉพาะในยามวิกาล ที่อ้างว่าตรวจเมา ตรวจอาวุธ แต่แท้จริงแล้วคือเหมืองทองคำของการรีดไถหรือไม่?

ยิ่งไปกว่านั้น การบังคับใช้กฎหมายเรื่องเวลาจำหน่ายสุรา (ประกาศคณะปฏิวัติ) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือหากินกับสถานประกอบการที่เปิดเกินเวลา กลายเป็นช่องโหว่ให้เจ้าหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ แทนที่จะควบคุมเพื่อความสงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง

ภัยมืดในเครื่องแบบ: ตำรวจ “ไอ้โม่ง” ปิดหน้าล่าเหยื่อ

ปรากฏการณ์ที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้ คือการตั้งด่านโดยเจ้าหน้าที่ “ปิดบังใบหน้า” สวมหมวกไหมพรมหรือหน้ากากมิดชิด พ.ต.อ.วิรุตม์ กระตุกต่อมคิดสังคมว่า “บริสุทธิ์ใจ ทำไมต้องปิดหน้า?”

การปฏิบัติหน้าที่ราชการต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ การปิดหน้าไม่ต่างอะไรกับโจรผู้ร้าย หากเกิดการยัดข้อหาหรือทำร้ายร่างกาย ประชาชนจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้กระทำ? คำแนะนำที่เจ็บแสบแต่จริงใจคือ หากเจอตำรวจไอ้โม่ง ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะ “ไม่เสวนาด้วย” จนกว่าจะเปิดเผยใบหน้าแสดงตัวตนที่ชัดเจน

ความยุติธรรมที่บิดเบี้ยว: หมายจับที่ออกง่ายยิ่งกว่าใบสั่ง

ปิดท้ายด้วยปัญหาเชิงโครงสร้าง เมื่อ “หมายจับ” ในประเทศไทยออกง่ายจนน่าใจหาย เพียงแค่ตำรวจขอ ศาลก็แทบจะอนุมัติทันที ทั้งที่ตามหลักสากลควรเริ่มจาก “หมายเรียก” ก่อน การออกหมายจับพร่ำเพรื่อนำไปสู่การค้านประกันตัว ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุกฟรีทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุด เป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง

บทสรุปถึงผู้มีอำนาจ

พ.ต.อ.วิรุตม์ ทิ้งท้ายไว้อย่างเจ็บแสบว่า อย่าไปหวังพึ่ง “เกียรติยศ” จอมปลอมที่อุปโลกน์กันเองในหมู่ตำรวจ เพราะเกียรติยศที่แท้จริงต้องมาจากความศรัทธาของประชาชน และฝากไปถึงขั้วอำนาจทางการเมืองและการเลือกตั้งที่จะมาถึง:

พรรคการเมืองใดที่ไม่มีนโยบายปฏิรูปตำรวจที่เขียนไว้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร อย่าไปเลือก! เพราะนั่นแสดงว่าพวกเขาไม่เข้าใจปัญหาที่กัดกินรากฐานของประเทศอย่างแท้จริง”

ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่สังคมไทยจะเลิกยอมจำนนต่ออำนาจมืดในเครื่องแบบ และร่วมกันทวงคืนความยุติธรรมที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่ภาพลวงตา.

#สืบจากข่าว รายงาน

(เรียบเรียงข้อมูลจากการสัมภาษณ์ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร โดย ทีมข่าวเจาะประเด็น “สืบจากข่าว”)

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts