การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ตั้งความหวังพาระบบการเงิน-บัญชีเข้าสู่ยุคดิจิทัล จ่าย 301 ล้านบาทจ้างบริษัทเอกชนไอทีพัฒนา “FMIS” ระบบบริหารการเงินรูปแบบใหม่ ใช้เวลากว่า 4 ปี แต่สุดท้ายระบบกลับใช้งานจริงไม่ได้ ปั่นป่วนทั้งการเบิกงบ-จัดซื้อจัดจ้าง ขณะบริษัทผู้พัฒนาโยนความผิดกลับ ชี้เจ้าหน้าที่รถไฟไม่มีความสามารถใช้ระบบเอง! สังคมตั้งคำถาม งานนี้ใครได้อะไร? และ “ถุงขนม” หนักหลายสิบกิโลตกอยู่ระหว่างทางจริงหรือไม่
รู้เลย! ทำไมรถไฟไทยถึงพัฒนาไม่ไปไหน จ้างเอกชนพัฒนาระบบการเงินบัญชีร่วม 4 ปี สูญกว่า 300 ล้าน กลับใช้งานไม่ได้
คนรถไฟสุดเซ็ง จ้างบริษัทเอกชนพัฒนาระบบบัญชีการเงินตั้ง 4 ปี สูญไปกว่า 300 ล้าน สุดท้ายเหลวยังใช้งานไม่ได้ เอกชนโยนกลองทำครบถ้วนตามสัญญา ชี้คนรถไฟห่วยแตกเอง!
คนรถไฟสุดเซ็ง จ้างเอกชนห้องแถวพัฒนาระบบการเงินและบัญชีร่วม 4 ปี หมดเงินไป 301 ล้านบาท สุดท้ายส่อเหลวยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้จริง ทำระบบจัดซื้อจัดจ้างภายในรถไฟปั่นป่วน โดยแหล่งข่าวในการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) แฉเรื่องสุดฉาวในการรถไฟฯว่า อ้าง การรถไฟฯได้จ้างเอกชนดำเนินโครงการพัฒนาระบบการเงินและบัญชี Financial Management Information System : FMIS วงเงินกว่า 300 ล้าน บาท หวังเข้าสู่ยุคไฮเทคตามหน่วยงานอื่น โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ 25 กันยายน 2563-24 กันยายน 2567
โดยระบบดังกล่าว การรถไฟได้ติดตั้งใช้งานกับระบบการเงินและบัญชีของหลายหน่วยงานภายในรถไฟ อาทิ ระบบงบประมาณ ระบบงานด้านรายจ่ายและเงินยืมทดลอง ระบบรายได้สำหรับสถานีนำร่อง 12 แห่ง ระบบคลังพัสดุ ระบบบัญชีลูกหนี้และเจ้าหนี้ ระบบบัญชีทรัพย์สินถาวร และระบบบัญชีแยกประเภททั่วไป ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่นๆ ภายในการรถไฟ
อย่างไรก็ตาม ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาสัญญาจ้าง บริษัทเอกชนผู้พัฒนาระบบได้จัดประชุมร่วมกับคณะกรรมการกำกับดูแล PMO เพื่อแจ้งถึงกำหนดระยะเวลาสัญญาจ้างและจัดประชุมเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่จะเป็นผู้ใช้งาน รวมถึงกำหนดการใช้งานจริง แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับปรากฏว่าได้เกิดปัญหาขึ้นหลายกรณี
เมื่อถึงกำหนดการใช้จริงกลับปรากฏว่า ระบบมีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้จริง เป็นเหตุทำให้งบประมาณตกเบิกได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า จึงทำให้การรถไฟฯ ยังคงไม่ดำเนินการตรวจรับงาน และเบิกจ่ายให้ผู้ประกอบการ และเปิดใช้งานจริง และได้เรียกผู้รับจ้างพัฒนาระบบเข้าประชุมชี้แจงแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
โดยบริษัทอ้างว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินการตามสัญญาครบถ้วนแล้ว แต่การรถไฟยังไม่ได้มีการตรวจรับงาน ทำให้บริษัทเงินไม่สามารถจะแบกรับปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากผู้ปฏิบัติงานรถไฟเองยังไม่เข้าใจระบบ เพราะประสิทธิภาพของระบบขึ้นอยู่กับการสั่งการต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และผู้บันทึกข้อมูล บริษัทเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือสนับสนุนการใช้งานเท่านั้น พร้อมกับแจ้งว่าปัญหาที่เกิด เกิดจากการรถไฟฯ เองไม่ได้ดำเนินการเช่าระบบคอมพิวเตอร์เพื่อดำเนินการติดตั้งให้กับสถานีต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งยังไม่มีการต่ออายุสิทธิ์ Oracle สำหรับการใช้งานระบบ FMIS ที่หมดอายุ จึงทำให้ไม่สามารถ Run งานได้เต็มประสิทธิภาพ
ล่าสุดทางบริษัทเอกชนผู้พัฒนาระบบยังมีหนังสือแจ้งไปยังรถไฟจะดำเนินการช่วยเหลือและสนับสนุนการดูแลระบบ FMIS ไปจนถึง 30 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาเท่านั้น จนกว่าการรถไฟฯ จะได้ข้อยุติเรื่องการขยายเวลาและงดเว้นค่าปรับ รวมทั้งดำเนินการตรวจรับงานตามกำหนด เพื่อนำระบบดังกล่าวส่งออกใช้งานจริง หลังจากนั้นจนถึงขณะนี้ผ่านมากว่า 6 เดือนเข้าไปแล้ว ระบบ FMIS ของรถไฟยังคงมีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้จริง ทำให้การเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เกิดความสับสน ต้องใช้ระบบเดิมควบคู่และมีปัญหาในการจัดซื้อจ้างจ้าง การบริหารระบบคลังพัสดุ บัญชีการเงิน และรายรับรายจ่ายโดยที่ยังไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบได้ เจ้าหน้าที่ทุกๆ ฝ่ายบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากได้เอกชนรายนี้มาทำงานแต่ทัดทานเส้นสายผู้ใหญ่ระดับสูงในรถไฟไม่ไหว
เป็นที่กล่าวขานว่าโครงการนี้มีการตั้งงบประมาณสูงเว่อร์ เมื่อเทียบกับผลงานที่ออกมา เพราะระดับราคาค่างวดการจ้างทำระบบบัญชีสูง 301 ล้านบาท ซึ่งในอดีตการรถไฟฯ เคยจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการบัญชีระดับบิ๊กโฟว์ เช่น PWC, EY, Deloitte KPMG มาทำ แต่คราวนี้กลับไปจ้างบริษัทไอทีห้องแถวมาทำที่มีคนทำงานเพียงไม่กี่คนแถมยังมาใช้คนในรถไฟทำงานให้อีกต่างหาก สรุปงานใครกันแน่ชักเริ่มน่าสงสัย เหตุเพราะบริษัทบิ๊กโฟว์เค้าไม่สามารถทำถุงขนมตกในหน่วยงานได้ เพราะเค้ามีระบบ compliance ในบริษัทเค้าจึงเป็นเหตุไม่ได้รับงาน
นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า มีการลักไก่แอบให้บริษัทเอกชนไอทีใช้สถานที่การรถไฟ มีออฟฟิศส่วนตัวห้องทำงานใช้น้ำใช้ไฟของหลวงโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ให้กับหน่วยงาน ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขสัญญาว่าสามารถใช้สถานที่ของการรถไฟได้ฟรีๆ มิทราบว่าเหตุใดการรถไฟฯ ถึงหลับหูหลับตาปล่อยปะละเลยเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนรายนี้ได้ถึงเพียงนี้ ลำพังแค่เสียบปลั๊กชารจ์มือถือส่วนตัวใช้ไฟหลวงก็ผิดแล้ว นี้ถึงขนาดมีออฟฟิศส่วนตัวตั้งอยู่ในหน่วยงานหากไม่เส้นใหญ่จริงๆ คงทำกันเช่นนี้ไม่ได้
ว่ากันว่างานนี้มีถุงขนมหนักหลายสิบกิโลตกอยู่ระหว่างทางในการรถไฟฯ หรือไม่ คงต้องฝากไปยังหน่วยงานตรวจสอบ ทั้ง ป.ป.ช.และ สตง.เข้ามาตรวจสอบถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการนี้และบริษัทเอกชนขาใหญ่ไอทีห้องแถวรายดังกล่าวด้วย