“ภาษีชุดใหม่ของปธน.ทรัมป์ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างประเทศ และสหรัฐเองก็จะได้รับความเสียหายจากภาษีเหล่านี้ การผลักไสอินเดียออกจากการเป็นพันธมิตร ไม่ต่างจากปล่อยเสือเข้าป่า การขึ้นภาษีกับ “บราซิล แอฟริกาใต้” จะทำให้กลุ่มประเทศ “บริกส์” โตวัน โตคืน”
อะทาคาน บาคิสคาน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารแบเรนเบิร์ก กล่าวถึงนโยบายภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์ ว่า ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างประเทศ และสหรัฐเองก็จะได้รับความเสียหายจากภาษีเหล่านี้ จากภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศที่ดีดตัวขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง เนื่องจากภาษีเหล่านี้ ได้บิดเบือนการแข่งขันระหว่างบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐ เพื่อจำหน่ายในตลาดภายในประเทศเช่นกัน
ขณะที่การทำสงครามภาษีกับ “อินเดีย” ไม่ส่งผลดีต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะประชากรที่มากถึง 1.2 พันล้านคนของอินเดีย ถือเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่าจีน การผลักไสอินเดีย ไม่ต่างจากปล่อยเสือเข้าป่า
ที่สำคัญ อินเดีย คือหนึ่งในประเทศก่อตั้ง “บริกส์” ที่มีจีน รัสเซีย บราซิล และแอฟริกาใต้ ร่วมเป็นพันธมิตรก่อตั้ง
เฉพาะ 5 ประเทศกลุ่มก่อตั้ง รวมประชากรเข้าไปกว่าครึ่งโลก ยังไม่รับรวมประเทศสมาชิกอีกนับสิบที่เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนพันธมิตร
“นเรนทรา โมดี” นายกรัฐมนตรีอินเดีย แสดงท่าทีแข็งกร้าว ต่อการขู่ขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยส่งสัญญาณว่า “จะซื้อน้ำมันจากรัสเซียต่อไป”
“อินเดีย” กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งทรัมป์โจมตีอินเดียอย่างรุนแรง เข้าร่วมกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาบริกส์ โดยกล่าวว่า “พวกเขาจะพาเศรษฐกิจของตัวเองล่มสลายไปด้วยกัน” พร้อมประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียในอัตรา 25%
แต่แทนที่ “โมดี” จะอ่อนข้อ กับเรียกร้องให้ประชาชนหันมาซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทั่วโลก ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
“เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความน่ากังวลมากมาย บรรยากาศเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง เราจะซื้อสินค้าที่ผลิตจากหยาดเหงื่อของชาวอินเดียตามนโยบาย “Make in India” ที่ริเริ่มมานานแล้ว เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของอินเดีย” โมดี กล่าว
เช่นเดียวกับแอฟริกาใต้ หนึ่งในกลุ่มผู้ตั้งบริกส์ ที่โดนรีดภาษี 30% ประธานาธิบดี ไซริล รามาโฟซา ผู้นำแอฟริกาใต้ เร่งส่งคณะผู้แทนการค้าไปยังตลาดใหม่ ๆ ทั้งในแอฟริกาและภูมิภาคอื่น ๆ พร้อมเผยว่า รัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันโครงการพัฒนาผู้ส่งออกระดับชาติ เพื่อเพิ่มจำนวนบริษัทที่มีศักยภาพพร้อมส่งออก
ตามข้อมูลจากกรมสรรพากรแอฟริกาใต้ สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของแอฟริกาใต้ รองจากจีน โดยปีที่ผ่านมา แอฟริกาใต้ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.8 พันล้านดอลลาร์
ขณะที่ “บราซิล” หนึ่งในทีมบริกส์ก็โดนหนักไม่แพ้กัน สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราสูงถึง 50% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพุธที่ 6 ส.ค. ซึ่งมาตรการภาษีดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ผลิตกาแฟบราซิลต้องหาตลาดอื่น จากเดิมที่เคยส่งออกกาแฟไปยังสหรัฐฯ ราว 8 ล้านกระสอบต่อปี และจีนอ้าแขนรับกาแฟจากบริษัทบราซิล 183 แห่งทันที โดยมาตรการนี้บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. และมีผลเป็นระยะเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ตาม มีหนึ่งประเทศที่ไม่ได้ถูกบรรจุลงในบัญชีประเทศคู่ค้าของสหรัฐอเมริกา ที่ถูกตั้งกำแพงภาษีนำเข้า คือ “รัสเซีย” แต่ก็ไม่ส่งผลบวกอะไร เพราะสหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2022
โดยทุกประเทศที่โดนกำแพงภาษี ต่างหันมองไปยัง “ปักกิ่ง”