วันศุกร์, สิงหาคม 8, 2025
หน้าแรกข่าวประชาสัมพันธ์กสม. แนะส่วนท้องถิ่นและบริษัทอุตสาหกรรมเกษตรคู่สัญญากำกับดูแลการแก้ไขปัญหากรณีฟาร์มสุกร จ. ร้อยเอ็ด ส่งกลิ่นเหม็นกระทบสุขภาพประชาชน ให้สอดคล้องหลักธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน

Related Posts

กสม. แนะส่วนท้องถิ่นและบริษัทอุตสาหกรรมเกษตรคู่สัญญากำกับดูแลการแก้ไขปัญหากรณีฟาร์มสุกร จ. ร้อยเอ็ด ส่งกลิ่นเหม็นกระทบสุขภาพประชาชน ให้สอดคล้องหลักธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน

นายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
โดย สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนกันยายน 2567 จากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบด้านกลิ่นเหม็นจากการประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกรของเอกชนแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 7 ตำบลสระนกแก้ว อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ระบุว่า
ผู้ร้องเคยแจ้งผู้ประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกรดังกล่าว (ผู้ถูกร้องที่ 1) รวมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลสระนกแก้ว (อบต. สระนกแก้ว)
(ผู้ถูกร้องที่ 2) ให้แก้ไขปัญหากลิ่นเหม็นแล้ว แต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวและปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ฟาร์มเลี้ยงสุกรของผู้ถูกร้องที่ 1 ทำสัญญาเลี้ยงสุกรให้กับบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรแห่งหนึ่ง เริ่มต้นกิจการตั้งแต่ปี 2565 บนเนื้อที่ 27 ไร่ มีโรงเรือนเลี้ยงสุกร 2 หลัง เลี้ยงสุกรจำนวนประมาณ 1,500 ตัว โดยก่อนได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการได้รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนบ้านกุดสระ หมู่ที่ 7 และบ้านสระแก้ว หมู่ที่ 14 ตำบลสระนกแก้ว ณ ศาลากลางหมู่บ้านสระแก้ว เมื่อเดือนธันวาคม 2564 ผลปรากฏว่าไม่มีผู้ใดคัดค้าน อย่างไรก็ดีหลังประกอบกิจการ มีประชาชนร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ว่าฟาร์มเลี้ยงสุกรของผู้ถูกร้องที่ 1 ส่งผลกระทบด้านกลิ่นเหม็น โดยปศุสัตว์อำเภอโพนทองและอบต. สระนกแก้ว ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและพบว่าปัญหาด้านกลิ่นมีแหล่งกำเนิดมาจากบ่อบำบัดน้ำเสีย ลานตากมูลสุกรที่มีความชื้น และการระบายอากาศของพัดลมระบายอากาศขนาดใหญ่ของโรงเรือนเลี้ยงสุกร และให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหา ซึ่งแม้ฟาร์มสุกรดังกล่าวจะได้ดำเนินการแก้ไขตามคำแนะนำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือพยายามหาทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการอื่น ๆ แล้ว แต่ปัญหาด้านกลิ่นเหม็นบรรเทาลงเพียงชั่วคราวเท่านั้น จึงถือว่า การประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกรของผู้ถูกร้องที่ 1 ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพของผู้ร้องและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผู้ถูกร้องที่ 1
ได้ยุติการประกอบกิจการชั่วคราว เพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาภายในฟาร์ม ทำให้ไม่มีปัญหากลิ่นเหม็นรบกวนอีก

ในส่วนนี้จึงเห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว

สำหรับประเด็นตรวจสอบว่า อบต. สระนกแก้ว ผู้ถูกร้องที่ 2 ละเลยการคุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือไม่ เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 มีหน้าที่คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 67 (7) แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ซึ่งมีอำนาจห้ามไม่ให้มีการก่อเหตุรำคาญในสถานที่เอกชน และระงับเหตุรำคาญ ตลอดทั้งดูแล ปรับปรุง บำรุงรักษา สถานที่ต่าง ๆ ในเขตของตนให้ปราศจากเหตุรำคาญ รวมทั้งมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือเพื่อระงับ กำจัด และควบคุมเหตุรำคาญต่าง ๆ ได้ แม้ผู้ถูกร้องที่ 2 จะได้ลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบด้านกลิ่นเหม็นจากฟาร์มเลี้ยงสุกรของผู้ถูกร้องที่ 1 ตามที่มีผู้ร้องเรียน พร้อมให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาแล้วก็ตาม แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ดำเนินการสั่งระงับ กำจัด และควบคุมเหตุรำคาญดังกล่าว ประกอบกับหลักเกณฑ์การประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประเภท “การเลี้ยงสุกร” ท้ายข้อบัญญัติ อบต. สระนกแก้ว กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการต้องแสดงผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำทิ้งทุก 3 เดือน และเก็บรักษาผลการตรวจวิเคราะห์ไว้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ซึ่งกรณีนี้ฟาร์มเลี้ยงสุกร ผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่มีการวิเคราะห์คุณภาพน้ำทิ้งตามที่กำหนด และ อบต. สระนกแก้ว ผู้ถูกร้องที่ 2 ก็ไม่ได้ติดตามให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ดำเนินการ นอกจากนี้ หลักเกณฑ์การประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประเภท “การเลี้ยงสุกร” ท้ายข้อบัญญัติข้างต้น กำหนดให้ที่ตั้งฟาร์มเลี้ยงสุกรห่างจากชุมชนไม่น้อยกว่า 1.6 กิโลเมตร แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ฟาร์มเลี้ยงสุกรของผู้ถูกร้องที่ 1 ตั้งอยู่ห่างจากชุมชนในพื้นที่หมู่ 8 ประมาณ 1.35 กิโลเมตร การพิจารณาเรื่องระยะห่างดังกล่าวของผู้ถูกร้องที่ 2 จึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ถือว่าผู้ถูกร้องที่ 2 ละเลยการคุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันส่งผลกระทบต่อสิทธิในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ จึงเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง อบต. สระนกแก้ว ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้มีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำทิ้งของฟาร์มและจัดประชุมโดยเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องที่ 1 กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน จนกระทั่งผู้ถูกร้องที่ 2 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ประกอบกับผู้ถูกร้องที่ 2 ยังไม่ต่อใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจึงส่งผลให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ยังไม่สามารถประกอบกิจการต่อได้ ทำให้ไม่มีปัญหากลิ่นเหม็นรบกวนอีก ในส่วนนี้จึงเห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว ทั้งนี้ แม้สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัญหากลิ่นเหม็นหมดไป เกิดจากการที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ยังไม่ต่อใบอนุญาตให้กับผู้ถูกร้องที่ 1 แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีการต่อใบอนุญาตให้กับผู้ถูกร้องที่ 1 อีกครั้งหรือไม่ ประกอบกับในอนาคตอาจมีการขออนุญาตประกอบกิจการในลักษณะเดียวกันนี้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน จึงเห็นควรเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อฟาร์มเลี้ยงสุกร ผู้ถูกร้องที่ 1 และ อบต. สระนกแก้ว ผู้ถูกร้องที่ 2 ต่อไป

กสม. ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การที่ฟาร์มเลี้ยงสุกรของผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ทำสัญญาเลี้ยงสุกรให้กับบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ดังนั้น เมื่อการประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกรของผู้ถูกร้องที่ 1 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง บริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรดังกล่าวย่อมต้องมีส่วน ในการแก้ไขปัญหาตามหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) ด้วย

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 จึงมีมติให้เสนอแนะมาตรการการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังผู้ประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกร ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้แก้ไขปรับปรุงฟาร์มเลี้ยงสุกรก่อนการขอต่อใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยจัดให้มีระบบบำบัดและป้องกันกลิ่นเหม็นรบกวนที่มีประสิทธิภาพและถูกต้องตามหลักวิชาการ ทั้งนี้ ควรนำคู่มือแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมฟาร์มเลี้ยงสุกรของกรมควบคุมมลพิษ มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการ

สำหรับ อบต. สระนกแก้ว ผู้ถูกร้องที่ 2 ในกรณีการพิจารณาต่อใบอนุญาตประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกร ต้องตรวจสอบฟาร์มเลี้ยงสุกรของผู้ถูกร้องที่ 1 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประเภทการเลี้ยงสุกรตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะระบบบำบัดและป้องกันกลิ่นเหม็นรบกวนให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงตรวจสอบระยะห่างระหว่างฟาร์มกับชุมชน โดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และควรประสานสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 11 (ขอนแก่น) เพื่อร่วมการตรวจสอบดังกล่าวด้วย

กรณีออกหรือต่อใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประเภทฟาร์มเลี้ยงสุกร ให้กำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขให้ผู้ประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกรต้องมีระบบการจัดการฟาร์ม ระบบการบำบัดและป้องกันกลิ่นที่มีประสิทธิภาพและถูกต้องตามหลักวิชาการไว้ในใบอนุญาต รวมถึงหากผู้ประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกรรายใดมีหน้าที่ต้องเก็บสถิติและข้อมูลซึ่งแสดงผลการทำงานของระบบ ตามมาตรา 80 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ให้กำหนดหน้าที่ดังกล่าวไว้ในใบอนุญาตด้วยเช่นกัน และกรณีพบเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเกิดจากการประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกร ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 หมวด 5 ในการระงับ กำจัด หรือควบคุมเหตุรำคาญอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ ให้บริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรซึ่งเป็นคู่สัญญาเลี้ยงสุกรของผู้ถูกร้องที่ 1 จัดส่งบุคลากรเพื่อร่วมกับผู้ถูกร้องที่ 1 ในการปรับปรุงฟาร์มเลี้ยงสุกรตลอดจนตรวจประเมินมาตรฐานฟาร์มเป็นระยะ และดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) โดยเฉพาะการระบุและประเมินผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและต่อผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงฟาร์มเลี้ยงสุกรที่เป็นคู่สัญญาของบริษัท รวมถึงกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและเยียวยาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามสัญญาของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts