วันศุกร์, สิงหาคม 8, 2025
หน้าแรกข่าวประชาสัมพันธ์กสม. ตรวจสอบกิจการเหมืองหินปูน จ. นครสวรรค์ ชี้มีการปิดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชนประกอบการจัดทำรายงาน EIA แนะหน่วยงานกำกับดูแลให้มีการประเมินผลกระทบรอบด้าน

Related Posts

กสม. ตรวจสอบกิจการเหมืองหินปูน จ. นครสวรรค์ ชี้มีการปิดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชนประกอบการจัดทำรายงาน EIA แนะหน่วยงานกำกับดูแลให้มีการประเมินผลกระทบรอบด้าน

(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 26/2568) กสม. ตรวจสอบกิจการเหมืองหินปูน จ. นครสวรรค์ ชี้มีการปิดกั้น
การแสดงความเห็นของประชาชนประกอบการจัดทำรายงาน EIA แนะส่วนท้องถิ่นและบริษัทอุตสาหกรรมเกษตรคู่สัญญาแก้ไขปัญหา กรณีฟาร์มสุกร จ.ร้อยเอ็ด ส่งกลิ่นเหม็นกระทบสุขภาพประชาชน

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 14.00 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 26/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนกลุ่มรักเขากะลา สำนึกรักบ้านเกิด เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ระบุว่า การประกอบกิจการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างของบริษัทเอกชน 3 แห่ง (ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4) ในพื้นที่หมู่ที่ 10 ตำบลพระนอน อำเภอเมืองนครสวรรค์ หมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 11 ตำบลเขากะลา อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม แหล่งน้ำธรรมชาติ พื้นที่ป่าไม้ วิถีชีวิต การระเบิดภูเขาก่อให้เกิดเสียงดังและฝุ่นละอองกระทบต่อสุขภาพของประชาชน นอกจากนี้ เห็นว่าพื้นที่บางส่วนของโครงการตามคำขอประทานบัตรของบริษัทเอกชนอีกแห่ง (ผู้ถูกร้องที่ 5) ในพื้นที่หมู่ที่ 10 ตำบลพระนอน และหมู่ที่ 5 ตำบลเขากะลา อยู่ในพื้นที่ที่ไม่สามารถขอตั้งโรงงานอุตสาหกรรมได้ รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อประกอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment) หรือรายงาน EIA และการจัดรับฟังความคิดเห็นของชุมชนของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ไม่โปร่งใส เนื่องจากกีดกันประชาชนไม่ให้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็น จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องดังกล่าวและรับฟังได้ว่า เดิมบริษัทเอกชน ผู้ถูกร้องที่ 2 และที่ 3 ประกอบกิจการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนในพื้นที่ป่าไม้มาตั้งแต่ปี 2543 – 2563 ต่อมาได้ยื่นขอประทานบัตรทับพื้นที่เดิมทั้งแปลง ส่วนผู้ถูกร้องที่ 4 ซึ่งเป็นบริษัทเครือเดียวกับผู้ถูกร้องที่ 3 ทำเหมืองแร่ในที่ดินของตนเอง การทำเหมืองแร่ของบริษัทเอกชน ผู้ถูกร้องที่ 2 – 4 เป็นการทำเหมืองเปิดในลักษณะขั้นบันได ใช้วัตถุระเบิดช่วยในการผลิต ไม่ใช้สารเคมี ใช้น้ำเพื่อฉีดพรมลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองโดยสภาพย่อมเป็นกิจการที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองจำนวนมากหากปราศจากการควบคุมดูแลอย่างเพียงพอ ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 2 – 4 ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ประกอบกับผลการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมพื้นที่โดยรอบเหมืองแร่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และยังไม่พบความผิดปกติของตัวเลขผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจในพื้นที่ ส่วนประเด็นน้ำบาดาลในพื้นที่ลดลงมีสาเหตุมาจากการขยายตัวของชุมชน และปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลให้แหล่งน้ำผิวดินไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค ประชาชนจึงต้องเจาะบ่อน้ำบาดาลเพิ่มเติม ทำให้น้ำบาดาลลดลง ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ากิจการเหมืองแร่หินของผู้ถูกร้องที่ 2 – 4 มีการกระทำอันส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม วิถีชีวิต และสุขภาพของประชาชน อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะยังไม่พบผลกระทบที่ชัดเจน แต่เนื่องจากลักษณะของโรคที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ มักใช้ระยะเวลานานกว่าจะปรากฏอาการสำคัญของโรค รวมทั้งประชาชนมีความห่วงกังวลในประเด็นผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละออง เสียงรบกวน และแรงสั่นสะเทือนที่มีผลกระทบต่อบ้านเรือนแตกร้าว หน่วยงานรัฐจึงควรค้นหาเพื่อให้ทราบถึงแหล่งกำเนิดมลพิษที่ก่อให้เกิดปัญหาดังกล่าว และควรมีการวางแผนป้องกันและติดตามผลกระทบในระยะยาว เช่น การเก็บข้อมูลตัวอย่างสุขภาพของประชาชนในพื้นที่โดยรอบเหมืองแร่ เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการชดเชยเยียวยาหากเกิดผลกระทบในอนาคต

สำหรับโครงการเหมืองแร่หินตามคำขอประทานบัตรของบริษัทเอกชนอีกแห่ง (ผู้ถูกร้องที่ 5) ในพื้นที่หมู่ที่ 10 ตำบลพระนอน และหมู่ที่ 5 ตำบลเขากะลา ซึ่งมีประเด็นร้องเรียนเรื่องพื้นที่ประกอบกิจการไม่เหมาะสมนั้น เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 5 ยื่นคำขอประทานบัตรโดยที่ดินบางส่วนเป็นที่ดินประเภทชุมชน (สีชมพู) ซึ่งห้ามใช้ประโยชน์เพื่อกิจการโรงงานทุกจำพวกตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน เว้นแต่โรงงานตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. 2558 และที่ดินบางส่วนเป็นที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) สามารถประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 3 ลำดับที่ 3 (1) โรงโม่ บด หรือย่อยหินได้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายผังเมืองรวมไม่มีข้อกำหนดหรือข้อห้ามประกอบกิจการเหมืองแร่ตามคำขอประทานบัตร ประกอบกับผู้ถูกร้องที่ 5 ยังไม่ได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานโม่ บด หรือย่อยหิน ในพื้นที่คำขอประทานบัตรดังกล่าว จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องที่ 5 กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเด็นพื้นที่ประกอบกิจการเหมืองแร่

ส่วนการจัดรับฟังความคิดเห็นของชุมชนโดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ผู้ถูกร้องที่ 1 เพื่อประกอบการให้อนุญาตประทานบัตรแก่ผู้ถูกร้องที่ 5 เห็นว่า ได้มีการจัดรับฟังความคิดเห็นของชุมชนและให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำเหมือง ขอบเขตพื้นที่ที่จะทำเหมือง การใช้แหล่งทรัพยากรและสาธารณูปโภคร่วมกับท้องถิ่น ผลประโยชน์และผลกระทบจากการประกอบกิจการ โดยให้ประชาชนผู้เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็นและข้อห่วงกังวลตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนดแล้ว จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากรณีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการจัดทำรายงาน EIA ของผู้ถูกร้องที่ 5 เห็นว่า ในการจัดรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 ซึ่งมีกำหนดจัดในเดือนตุลาคม 2566 ผู้ถูกร้องที่ 5 มีแนวคิดที่จะจัดประชุมในพื้นที่ของทหารที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบถึง 20 กิโลเมตร ซึ่งประชาชนบางส่วนไม่สะดวกในการเดินทาง และรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะมาร่วมแสดงความคิดเห็น จึงยกเลิกการประชุมดังกล่าวและกำหนดจัดประชุมครั้งที่ 2 อีกครั้ง ณ วัดธารลำไย ตำบลเขากะลา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 อย่างไรก็ดี การจัดประชุมวันดังกล่าว มีการคัดค้านของประชาชน และเกิดเหตุวุ่นวายจากการปิดกั้นสถานที่ประชุมและขวางกั้นไม่ให้ประชาชนที่เห็นต่างเข้าร่วม กระทั่งนำไปสู่การปะทะกัน และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าผู้ถูกร้องที่ 5 จะทำไปเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและเพื่อไม่ให้กลุ่มผู้คัดค้านเข้าไปปราศรัย แต่การจัดรับฟังความคิดเห็นสามารถทำได้หลากหลายวิธี โดยคำนึงถึงสิทธิของบุคคลและชุมชนที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองให้มีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นของตน การสร้างความเข้าใจและตอบข้อห่วงกังวลของประชาชนเป็นหน้าที่ของผู้ถูกร้องที่ 5 ที่จะต้องดำเนินการ ในประเด็นนี้ จึงรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องที่ 5 มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่อบริษัทเอกชนผู้ถูกร้องที่ 5 ให้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการจัดทำรายงาน EIA ครั้งที่ 2 ใหม่ โดยให้ประชาชนและชุมชนผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง มีความเป็นอิสระ เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นที่หลากหลายและรอบด้าน รวมทั้งรับฟังข้อห่วงกังวลและข้อเสนอแนะของประชาชน โดยเฉพาะประเด็นผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ ป่าไม้ วิถีชีวิต และสุขภาพของประชาชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้ (1)ให้จังหวัดนครสวรรค์ ผู้ถูกร้องที่ 1 สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 5 (พิษณุโลก) สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 4 (นครสวรรค์) ร่วมกันตรวจสอบเพื่อค้นหาแหล่งกำเนิดมลพิษที่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านฝุ่นละออง เสียงรบกวน และแรงสั่นสะเทือน รวมทั้งตรวจสอบสาเหตุที่ทำให้บ้านเรือนของประชาชนแตกร้าว โดยประสานภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และให้มีตัวแทนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม (2) ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ศึกษาศักยภาพในการรองรับมลพิษที่เกิดจากการประกอบกิจการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมของบริษัทเอกชนผู้ถูกร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 และในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อดูศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับมลพิษในระยะยาว และพิจารณาการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน ในพื้นที่หมู่ที่ 10 ตำบลพระนอน อำเภอเมืองนครสวรรค์ หมู่ที่ 5 ตำบลเขากะลา อำเภอพยุหะคีรี ของผู้ถูกร้องที่ 5 โดยคำนึงผลกระทบอย่างรอบด้าน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าไม้ อยู่ติดกับป่าชุมชนและสุสาน

(3) ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ร่วมกับจังหวัดนครสวรรค์ ศึกษา รวบรวม และติดตามข้อมูลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่โดยรอบการประกอบกิจการเหมืองแร่ของบริษัทเอกชนผู้ถูกร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 และผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่รายอื่นในลักษณะที่เป็นโครงการระยะยาว โดยเก็บข้อมูลสุขภาพรายปีเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี หรือตามความเหมาะสม เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ก่อมลพิษ ตลอดจนการชดเชยเยียวยาหากเกิดผลกระทบในอนาคต (4) ให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครสวรรค์ ให้คำแนะนำและกำกับดูแลบริษัทเอกชนผู้ถูกร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยปลูกต้นไม้เพิ่ม จัดทำโรงโม่หินให้เป็นระบบปิด เพิ่มระบบสเปรย์น้ำเพื่อฉีดพรมบริเวณต่าง ๆ ภายในโครงการ และเพิ่มพื้นที่กันชนรอบเหมือง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts