
(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 28/2568) กสม. ตรวจสอบกรณีตำรวจเข้าจับกุมกลุ่มหลากหลายทางเพศและปล่อยให้มีภาพไม่เหมาะสมเผยแพร่ในสื่อ แนะ ตร. กำหนดระเบียบที่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนทางเพศ – ให้จังหวัดระยองร่วมหน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเขตควบคุมมลพิษ หลังประชาชนร้องเรียนปัญหามลพิษเกินค่ามาตรฐาน – ปธ. กสม. มีหนังสือด่วนที่สุดถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า หลังพบเด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบด้านสุขภาพรุนแรง
วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 28/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนระบุว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 01.30 น. ผู้ถูกร้องทั้งสาม ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ (สน.ทองหล่อ) (ผู้ถูกร้องที่ 1) เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (ผู้ถูกร้องที่ 2) และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) (ผู้ถูกร้องที่ 3) ได้ตรวจค้นและจับกุมกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศ ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร โดยปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสม ไม่ให้เกียรติ ขาดความละเอียดอ่อน และขาดความเข้าใจในการปฏิบัติต่อกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศ เนื่องจากระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ กลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศอยู่ในสภาพเปลือยกายท่อนบน สวมเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว ไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งกายให้เรียบร้อยก่อน อีกทั้งผู้ถูกร้องทั้งสามได้ถ่ายภาพและนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนทางสื่อสังคมออนไลน์ นอกจากนี้ ยังตรวจปัสสาวะผู้ถูกจับกุมเพื่อหาสารเสพติดแบบเหมารวมโดยไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลใดเป็นผู้เสพยาเสพติดและไม่จัดห้องสุขาสำหรับการจัดเก็บตัวอย่างปัสสาวะ รวมถึงควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมโดยใช้กุญแจมือเป็นเครื่องพันธนาการซึ่งเกินสมควรแก่กรณี จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง การเข้าตรวจค้นจับกุมกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศซึ่งอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนและไม่อนุญาตให้แต่งกายให้เรียบร้อย จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุว่าจะมีการมั่วสุมเสพยาเสพติดภายในโรงแรมแห่งหนึ่งในเขตวัฒนา ซึ่งอยู่ในท้องที่รับผิดชอบของ สน.ทองหล่อ จึงได้ประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 ไปสนับสนุนการตรวจค้นจับกุมเหตุในครั้งนี้ และปรากฏข้อเท็จจริงว่า สำนักงาน ป.ป.ส. (ผู้ถูกร้องที่ 3) ไม่ได้สนับสนุนกำลังหรือเข้าร่วมปฏิบัติการดังกล่าว โดยเมื่อเข้าตรวจค้นพบกลุ่มบุคคลจำนวนมากทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย สวมเพียงกางเกงชั้นใน มีการเปิดเพลงและดื่มสุรา เจ้าหน้าที่แสดงตนและตรวจค้น พบยาเสพติดหลายชนิดทั้งในห้องและในตัวผู้ต้องหา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวขณะตรวจค้นและจับกุมไว้ด้วย กสม. เห็นว่า จากพฤติการณ์ตามที่ปรากฏ แม้ว่ากลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศซึ่งอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนและไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งกายให้เรียบร้อยก่อนแต่เนื่องจากเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากำลังกระทำความผิดตามกฎหมายฐานมีหรือครอบครองยาเสพติดหรือเสพยาเสพติด ประกอบกับกลุ่มบุคคลที่อยู่ในห้องที่ถูกตรวจค้นมีจำนวนมากกว่าตำรวจที่เข้าตรวจค้น หากไม่ทำการตรวจค้นในทันทีและรอให้ผู้ที่เปลือยกายใส่เสื้อผ้าเสียก่อน ยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมายอาจถูกโยกย้ายหรือซุกซ่อน หรือทำลายให้สูญหายไป จึงเป็นกรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนและเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพไปตามสมควรแก่กรณีอันเป็นไปตามหลักประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในชั้นนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่สอง กรณีถ่ายภาพกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศซึ่งอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนและถูกนำไปเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่า สำนักข่าวหลายแห่งนำเสนอข่าวกรณีตามคำร้องโดยมีการเผยแพร่ภาพกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศซึ่งอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน สวมใส่กางเกงชั้นในตัวเดียวออกสู่สาธารณะ สื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอภาพข่าวโดยไม่ปกปิดใบหน้าผู้ต้องหา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงว่า ในขั้นตอนการตรวจค้นและจับกุมไม่ได้เปิดให้สื่อหรือบุคคลภายนอกเข้าถ่ายภาพ และไม่ได้ส่งต่อภาพให้บุคคลอื่นนอกจากรายงานผู้บังคับบัญชาทางกลุ่มไลน์ แม้จะไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นผู้เผยแพร่ แต่เมื่อภาพถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะในช่วงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และถูกนำไปใช้โดยสื่อมวลชน พฤติการณ์ดังกล่าวส่งผลให้บุคคลที่ปรากฏในภาพได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง อาจถูกลบหลู่ศักดิ์ศรี และถูกตีตราทางสังคม กรณีถ่ายภาพกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศซึ่งอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน และส่งต่อเพื่อรายงานผู้บังคับบัญชาโดยไม่มีมาตรการป้องกันหรือควบคุมดูแลมิให้ภาพดังกล่าวถูกนำออกไปเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ จึงเป็นการดำเนินการที่กระทบต่อสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัวของบุคคลเกินสมควรแก่กรณี และเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในชั้นนี้จึงรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่สาม กรณีร้องเรียนว่ามีการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะผู้ต้องหาในลักษณะเหมารวม เห็นว่า การตรวจปัสสาวะเกิดขึ้นหลังการตรวจค้นห้องพักและพบยาเสพติดในสถานที่และในตัวผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหาทั้ง 126 คน ถูกนำตัวไปยัง สน. ทองหล่อ เพื่อหาสารเสพติดด้วยวิธีการตรวจปัสสาวะ อันอยู่ในหน้าที่และอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามกฎหมาย การกระทำของเจ้าหน้าที่แม้จะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคล แต่เมื่อกระทำไปภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดให้กระทำได้ และกระทำโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม กสม. มีข้อสังเกตว่า การตรวจสารเสพติดควรคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความหลากหลายทางเพศ เนื่องจากกรณีนี้พบว่าการตรวจปัสสาวะดำเนินการในสภาพที่อาจก่อให้เกิดความอับอายแก่ผู้ต้องหาที่เป็นบุคคลหลากหลายทางเพศ แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะยืนควบคุมและห้ามบุคคลอื่นเข้าไป แต่ยังมีลักษณะไม่เหมาะสม ดังนั้น เจ้าหน้าที่ควรใช้ความระมัดระวังและตระหนักถึงความละเอียดอ่อนทางเพศ จัดให้มีห้องน้ำหรือสถานที่ตรวจที่เหมาะสม และพิจารณาปรับปรุงให้มีห้องน้ำสำหรับบุคคลทุกเพศ และห้องน้ำที่บุคคลหลากหลายทางเพศประสงค์จะใช้ตามเพศสภาพหรืออัตลักษณ์ทางเพศของตนเพื่อสร้างความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
และประเด็นที่สี่ กรณีการใส่เครื่องพันธนาการประเภทกุญแจมือกับผู้ถูกจับกุมในระหว่างขั้นตอนการควบคุมตัวจากสถานที่เกิดเหตุไปยัง สน.ทองหล่อเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย เห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนโดยใช้เครื่องพันธนาการประเภทกุญแจมือเฉพาะกับผู้ต้องหาที่ตรวจพบยาเสพติดอยู่ในครอบครองเพื่อป้องกันเหตุความวุ่นวายในขณะปฏิบัติหน้าที่และป้องกันการหลบหนีไปจากการควบคุม การกระทำดังกล่าวแม้จะเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้ถูกจับกุม แต่เมื่อได้กระทำไปโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายและมีเหตุจำเป็นโดยไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ของผู้ถูกจับคุมซึ่งเป็นผู้ต้องหาความผิดฐานครอบครองหรือเสพยาเสพติดที่ไม่ใช่ผู้ร้ายคดีร้ายแรงหรือมีพฤติการณ์ว่าจะหลบหนี ประกอบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกจัดทำประวัติผู้กระทำความผิดไว้ทั้งหมดแล้ว ฉะนั้นการใช้หรือใส่เครื่องพันธนาการที่เป็นเหล็กหรือโลหะกับผู้ถูกจับจึงเกินกว่าความจำเป็นและไม่ได้สัดส่วน อีกทั้งการที่มีภาพในระหว่างใส่เครื่องพันธนาการปรากฏต่อสาธารณะยังเป็นการกระทบต่อเกียรติยศหรือชื่อเสียงของผู้ถูกจับจนเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งหากมีความจำเป็นในการควบคุมตัว ควรพิจารณาใช้เครื่องพันธนาการที่มีลักษณะไม่ลดทอนศักดิ์ศรี เช่น กำไลอิเล็กทรอนิกส์ สายรัดข้อมือ หรือสายรัดข้อเท้า แทนการใช้กุญแจมือหรือกุญแจเท้าที่ไม่เหมาะสม
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยัง สน.ทองหล่อ กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สรุปได้ ดังนี้
(1) ให้ สน. ทองหล่อ กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 และ ตร. กำหนดแนวทางการนำเสนอรายงานการปฏิบัติหน้าที่ทุกขั้นตอนทั้งต่อผู้บังคับบัญชาและผู้เกี่ยวข้องอื่น โดยต้องมีมาตรการป้องกันและลงโทษผู้ที่นำข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ไปเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์หรือช่องทางอื่น ๆ
(2) ให้ ตร. กำหนดมาตรการหรือแนวทางในการใช้หรือใส่เครื่องพันธนาการประเภทต่าง ๆ โดยนอกจากจะต้องดำเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง อย่างเคร่งครัดแล้วจะต้องนำหลักความได้สัดส่วนไปใช้ประกอบการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้ ให้ ตร. กำหนดระเบียบและแนวปฏิบัติที่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนต่อเพศภาวะ (gender sensitivity) และลักษณะเฉพาะของผู้เสียหายและพยาน และให้บริหารจัดการพื้นที่สำหรับรับแจ้งความ ควบคุมตัว หรือประกอบกิจธุระส่วนตัว (ห้องน้ำ) ภายในสถานีตำรวจโดยบริหารจัดการห้องน้ำที่มีอยู่หรือเพิ่มเติมสำหรับบุคคลทุกเพศให้เหมาะสมตามเพศสภาพของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ทั้งนี้ ให้สั่งการไปยังหน่วยงานภายใต้สังกัดให้ถือปฏิบัติกรณีที่จำเป็นต้องตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ให้จัดหาสถานที่โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและผลกระทบในมิติทางเพศ





