วันศุกร์, สิงหาคม 22, 2025
หน้าแรกอาชญากรรมกสม. แนะจังหวัดระยองร่วมหน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเขตควบคุมมลพิษ หลังประชาชนร้องเรียนปัญหามลพิษเกินค่ามาตรฐาน

Related Posts

กสม. แนะจังหวัดระยองร่วมหน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเขตควบคุมมลพิษ หลังประชาชนร้องเรียนปัญหามลพิษเกินค่ามาตรฐาน

นายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายประชาชนคนรักระยองเมื่อเดือนธันวาคม 2566 ระบุว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ได้ออกประกาศเมื่อปี 2552 กำหนดให้ท้องที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง จังหวัดระยอง เป็นเขตควบคุมมลพิษ แต่ปรากฏว่า ปัญหามลพิษในพื้นที่ยังคงมีค่าเกินมาตรฐาน มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงต่อไป และการแก้ไขปัญหาของเจ้าพนักงานท้องถิ่น
(ในท้องที่เขตควบคุมมลพิษ) (ผู้ถูกร้องที่ 1) และจังหวัดระยอง (ผู้ถูกร้องที่ 2) มีความล่าช้า ไม่บรรลุผลและประชาชนขาดการมีส่วนร่วม
ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลผลกระทบได้อย่างเพียงพอ จึงขอให้ตรวจสอบ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า กก.วล. ได้ออกประกาศฉบับที่ 32 (พ.ศ. 2552) ลงวันที่ 30 เมษายน 2552 กำหนดให้ท้องที่ตำบลมาบตาพุด ห้วยโป่ง เนินพระ และทับมา อำเภอเมืองระยอง ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา และตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง รวมทั้งพื้นที่ทะเลภายในแนวเขตเป็นเขตควบคุมมลพิษ ส่งผลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น มีหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 (พระราชบัญญัติส่งเสริมฯ พ.ศ. 2535) มาตรา 60 ในการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง ซึ่งที่ผ่านมา กก.วล. ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการฯ รวม 4 ฉบับ ฉบับปัจจุบัน คือ แผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. 2567 – 2570

จากการตรวจสอบพบว่า ปัจจัยที่แผนปฏิบัติการฯ ยังไม่สามารถทำให้มลพิษทางอากาศลดลง เนื่องจากพระราชบัญญัติส่งเสริมฯ พ.ศ. 2535 ไม่ได้กำหนดให้ประชาชนในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ เป็นเหตุให้ผลการศึกษาไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยังขาดข้อมูลการระบายและปล่อยมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรมและสถานประกอบการ และโรงงานอุตสาหกรรมผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ โดยแผนปฏิบัติการฯ ที่ผ่านมา ได้กำหนดให้ติดตั้งระบบ CEMs Online เชื่อมโยงไปที่ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (EMCC) เพื่อเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง และเผยแพร่ข้อมูลผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนทราบผ่านระบบป้ายหน้าโรงงาน เว็บไซต์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) แต่ก็เป็นการเผยแพร่ข้อมูลตามแผนปฏิบัติการฯ ของแต่ละหน่วยงาน ไม่ได้มีการบูรณาการข้อมูลข่าวสารร่วมกัน

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. …. มีเนื้อหาแก้ไขปรับปรุงการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ที่กำหนดให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ร่วมกับจังหวัดที่อยู่ในเขตควบคุมมลพิษจัดทำแผนขึ้นโดยการมีส่วนร่วมและการรับรู้ปัญหาของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษที่ตั้งอยู่ในเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ อปท. มีหน้าที่ต้องร่วมกันปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการฯ การดำเนินการแก้ไขกฎหมายจึงสอดคล้องตามหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตามรัฐธรรมนูญแล้ว

สำหรับประเด็นร้องเรียนว่าการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศตามแผนปฏิบัติการฯ ล่าช้า นั้น เห็นว่า แผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. 2567 – 2570 ได้เน้นการจัดการแผนบำบัดฟื้นฟูด้านอากาศ การเฝ้าระวัง ติดตาม และกำกับดูแลการลดปริมาณการระบายสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย หรือสาร VOCs ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ สารเบนซีน สาร 1,2-ไดคลอโรอีเทน และสาร 1,3-บิวทาไดอีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ และควบคุมโรงงานให้แก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสาร VOCs ในดินและน้ำใต้ดิน ปัญหาสำคัญในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษคือโรงงานกลุ่มปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ ถ่านหิน ยังคงปล่อยสาร VOCs เกินค่ามาตรฐาน นอกจากนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องจัดทำทำเนียบการปลดปล่อยและการเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) และในเขตควบคุมมลพิษยังมีการเพิ่มหรือขยายโรงงานอุตสาหกรรมและสถานประกอบการเป็นจำนวนมาก แต่กระบวนการแก้ไขปัญหากลับให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นออกแบบแผนปฏิบัติการฯ จึงไม่สอดคล้องกับสาเหตุของปัญหา นอกจากนี้ ในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ เจ้าพนักงานท้องถิ่นจำเป็นต้องใช้งบประมาณ บุคลากร รวมทั้งอุปกรณ์และเครื่องมือในการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ แต่ปรากฏว่าจังหวัดระยองไม่ได้ของบประมาณ ให้แก่เจ้าพนักงานท้องถิ่น ทำให้ไม่สามารถนำมาตรการลดและขจัดมลพิษมาดำเนินการให้เกิดความสำเร็จและบรรลุผลตามแผนปฏิบัติการฯ ได้ และจังหวัดระยองก็ไม่ได้กำกับแผนปฏิบัติการฯ ตามคำสั่งของ กก.วล. ทำให้ที่ผ่านมาการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการฯ เกิดความล่าช้า ส่งผลให้แผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. 2567 – 2570 ไม่สอดคล้องกับแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2566 – 2570 ในชั้นนี้จึงรับฟังได้ว่า จังหวัดระยอง ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชน

ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs) ซึ่งได้ระบุถึงหน้าที่ของรัฐ และหน้าที่ของภาคธุรกิจในการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เคารพสิทธิมนุษยชน และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการประกอบธุรกิจ กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะไปยังจังหวัดระยอง ผู้ถูกร้องที่ 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้

(1) มาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้จังหวัดระยองร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) บูรณาการแผนงานและงบประมาณ บุคลากร เครื่องมือและอุปกรณ์ เพื่อนำไปสู่การตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเพียงพอและต่อเนื่องในการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการฯ ระดับจังหวัดระยอง และ ให้ กรอ. และ กนอ. ศึกษาศักยภาพการรองรับมลพิษทางอากาศ น้ำและกากอุตสาหกรรม ในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง และกำหนดเวลาในการจัดการสาร VOCs ในบรรยากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ให้ชัดเจน

(2) มาตรการในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ให้ กรอ. และ กนอ. ออกประกาศกำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายสาร VOCs และสารอินทรีย์ระเหยง่ายจากปล่องปล่อยทิ้งอากาศเสียของโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมเคมี ศึกษาและออกประกาศการจัดทำทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) ในเขตควบคุมมลพิษ รวมทั้งกำหนดเป็นเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตสำหรับสถานประกอบการที่อยู่ในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง ให้ควบคุมสาร VOCs ในบรรยากาศ และคุณภาพน้ำให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ รวมทั้งการจัดการกากของเสียและสารอันตรายให้เป็นไปตามกฎหมาย หากพบการฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

ให้กรมควบคุมโรคศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างมลพิษจากอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดระยองกับความเสี่ยงของการเกิดโรคจากสิ่งแวดล้อมและผลกระทบทางสุขภาพอนามัยด้านต่าง ๆ ของประชาชน และจัดทำฐานข้อมูลผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคที่เกิดจากมลพิษ ส่งเสริมการตรวจสุขภาพเชิงรุก รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติการเกิดโรค อาการเจ็บป่วย และเชื่อมโยงกับชนิดของสารเคมีที่ตรวจพบ

ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพสร้างความตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชน หลักการ UNGPs รวมถึงแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) ให้แก่ จังหวัดระยอง กรอ. และ กนอ. เพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบการในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองจัดทำกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) ตามหลักการ UNGPs

และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลักดันและติดตามการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. …. ที่กำหนดให้กรมควบคุมมลพิษร่วมกับจังหวัดที่อยู่ในเขตควบคุมมลพิษจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ กำหนดมาตรการการมีส่วนร่วมและการรับรู้ปัญหาของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษที่ตั้งอยู่ในเขตควบคุมมลพิษในการแก้ปัญหาภาวะมลพิษและเยียวยาสิ่งแวดล้อม โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ อปท. มีหน้าที่ต้องร่วมกันปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว และเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts