
(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 30/2568) กสม. ตรวจสอบกรณีมูลนิธิเผยแผ่ศาสนา จ. นราธิวาส บำบัดผู้ติดยาเสพติดโดยละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แนะรัฐกำกับให้เป็นไปตามมาตรฐานสถานฟื้นฟูฯ – เผยผลการติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอแนะของ กสม. พบหน่วยงานต่าง ๆ ขานรับแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน
วันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568 เวลา 14.00 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 30/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
- กสม. ตรวจสอบกรณีมูลนิธิเผยแผ่ศาสนา จ. นราธิวาส บำบัดผู้ติดยาเสพติดโดยละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แนะผลักดันเข้าสู่ระบบการควบคุมดูแลโดยรัฐ เพื่อกำกับให้เป็นไปตามมาตรฐานสถานฟื้นฟูฯ
นายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนรายหนึ่งเมื่อเดือนเมษายน 2568 ระบุว่า มูลนิธิแห่งหนึ่ง (ผู้ถูกร้อง) ตั้งอยู่ที่ตำบลบาเระเหนือ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ทำงานด้านการสอนศาสนา ช่วยเหลือสังคม รวมทั้งบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เปิดรับสมัครผู้สนใจอายุระหว่าง 13 – 60 ปี เข้ารับการบำบัดยาเสพติด โดยเก็บค่าธรรมเนียมและมีวิธีการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพโดยใส่โซ่ตรวนขนาดใหญ่ที่ข้อเท้า ให้รับประทานอาหารวันละสองมื้อ มีกับข้าวเพียงปลากะตักกับผักกะหล่ำปลีต้ม และให้ผู้เข้ารับการบำบัดพักอาศัยในห้องสกปรก หากหลบหนีจะถูกผู้ดูแลของผู้ถูกร้องทำร้ายร่างกาย และหากทะเลาะวิวาทกันจะถูกล่ามโซ่ไว้กับต้นไม้ รวมทั้งให้ขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะบนพื้นดิน จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า ผู้ถูกร้องจดทะเบียนเป็นมูลนิธิซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเพื่อส่งเสริม สนับสนุนการศึกษา เผยแผ่ศาสนาอิสลาม และการช่วยเหลือสังคม โดยก่อนจัดตั้งเป็นมูลนิธิประมาณปี 2550 ผู้ถูกร้องพบปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดในชุมชน มีผู้นำชุมชนและชาวบ้านขอให้ผู้ถูกร้องช่วยบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยใช้หลักคำสอนและแนวปฏิบัติของศาสนาอิสลามมาช่วยกล่อมเกลาจิตใจเยาวชนผู้เข้ารับการบำบัดเพื่อให้เลิกยาเสพติดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต จนมีผู้ที่สามารถเลิกยาเสพติดได้ ผู้ถูกร้องจึงได้ดำเนินการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ในกระบวนการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้เข้ารับการบำบัด ผู้ถูกร้องใช้วิธีการควบคุมพฤติกรรมและลงโทษผู้ที่มีอาการคลุ้มคลั่ง ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น หรือผู้ทำผิดกฎระเบียบโดยการใส่ตรวนที่ข้อเท้าทั้งสองข้างหรือล่ามโซ่ไว้กับต้นไม้ ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องดำเนินการโดยไม่ได้จดทะเบียนรับใบอนุญาตให้เป็นสถานพยาบาลยาเสพติดหรือสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ถูกร้องไม่ทราบช่องทางติดต่อประสานงานและวิธีการทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
กสม. เห็นว่า การที่ผู้ถูกร้องใช้วิธีการบำบัด ฟื้นฟูสมรรถภาพ และลงโทษผู้ติดยาเสพติดโดยการใส่ตรวนที่ข้อเท้าทั้งสองข้างและล่ามโซ่ไว้กับต้นไม้ แม้จะมีวัตถุประสงค์หรือเจตนาเพื่อการช่วยเหลือหรือบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดแต่การกระทำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติต่อมนุษย์เยี่ยงวัตถุ สิ่งของ หรือสัตว์ อันเป็นการลดทอน ทำลาย และละเมิดต่อคุณค่าพื้นฐานแห่งความเป็นมนุษย์ของผู้เข้ารับการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายและอิสรภาพ ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งสิทธิของมนุษย์ทุกคนและเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประกอบกับผู้ถูกร้องไม่มีหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อาจละเมิดสิทธิดังกล่าวโดยเด็ดขาดและปราศจากเงื่อนไขใด ๆ อีกทั้ง การใส่ตรวนและล่ามโซ่ผู้เข้ารับการบำบัดไว้กับต้นไม้ เพื่อบำบัด ฟื้นฟูสมรรถภาพ และลงโทษ เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับหลักพอสมควรแก่เหตุ เนื่องจากยังมีวิธีการทางการแพทย์หรือวิธีการอื่นที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้เข้ารับการบำบัดน้อยกว่า เช่น การพันธนาการด้วยผ้า การกักบริเวณในพื้นที่ที่เหมาะสม การส่งต่อผู้เข้ารับการบำบัดที่มีอาการคลุ้มคลั่งไปยังสถานพยาบาลยาเสพติดหรือโรงพยาบาลของรัฐ เพื่อให้การบำบัดรักษาด้วยวิธีการทางการแพทย์ที่เหมาะสม เป็นต้น ประเด็นนี้จึงรับฟังได้ว่ามีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดี ในระหว่างการตรวจสอบคำร้องนี้ กสม. เห็นว่ามีการกระทำที่กระทบต่อสิทธิในชีวิตร่างกาย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะต้องดำเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน กสม. จึงได้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกับผู้ถูกร้อง และส่วนราชการในพื้นที่ โดยผู้ถูกร้องได้ยกเลิกการใส่ตรวนที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของผู้เข้ารับการบำบัดและการลงโทษด้วยการล่ามโซ่ไว้กับต้นไม้กรณีที่มีอาการคลุ้มคลั่งหรือฝ่าฝืนกฎระเบียบของมูลนิธิ รวมทั้งแก้ไขประกาศรับสมัคร ใบสมัคร รวมทั้งแบบฟอร์มหนังสือให้ความยินยอมเข้ารับการบำบัดของผู้ถูกร้อง โดยนำข้อกำหนดที่ให้อำนาจผู้ดูแลของผู้ถูกร้องใช้โซ่และตรวนพันธนาการผู้เข้ารับการบำบัดออกไปแล้ว ประเด็นนี้จึงถือเป็นเรื่องที่มีการแก้ไขปัญหาแล้ว ตามมาตรา 39 (5) ประกอบมาตรา 39 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 ซึ่งบัญญัติให้ กสม. สั่งยุติเรื่อง
ส่วนประเด็นร้องเรียนว่าผู้ถูกร้องมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้เข้ารับการบำบัดในประเด็นอื่น ๆ เช่น กำหนดระยะเวลาครบหลักสูตรการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพ 13 ปี จัดอาหารให้ผู้เข้ารับการบำบัดไม่ถูกหลักโภชนาการ ให้ผู้ดูแลถืออุปกรณ์คล้ายกระบองเหล็กควบคุมดูแลผู้เข้ารับการบำบัด ให้ผู้ดูแลใช้โซ่ตรวนหรือเครื่องพันธนาการอื่น ๆ กับผู้เข้ารับการบำบัดโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายและไม่ผ่านการอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนไม่มีการตรวจคัดกรองและจำแนกผู้เข้ารับการบำบัดที่รับเข้าใหม่ให้ได้รับการบำบัดฟื้นฟูที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงและสภาพปัญหาของแต่ละราย จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ถูกร้องกระทำการตามที่มีการร้องเรียนในกรณีดังกล่าวจริง จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่เป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการแก้ปัญหาโดยผู้ถูกร้องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่ กสม. ได้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในระหว่างการตรวจสอบแล้ว โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายอำเภอบาเจาะได้มีคำสั่ง ที่ 100/2568 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2568 แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนสนับสนุนด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ติดยาเสพติดในสถานที่ดูแลผู้ติดยาเสพติดของผู้ถูกร้อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการดูแลผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติดในสถานที่ของผู้ถูกร้อง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือพฤติกรรมในระดับรุนแรง รวมทั้งพัฒนาผู้ติดยาเสพติดเพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับไปใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข ซึ่งต่อมาคณะกรรมการฯ ได้จัดประชุม เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 กำหนดกรอบภารกิจของแต่ละหน่วยงานและจัดทำแผนการปฏิบัติงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาครอบคลุมประเด็นปัญหาตามคำร้องเรียน จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้ริเริ่มให้มีการแก้ไขปัญหาแล้ว ซึ่ง กสม. จะได้ติดตามผลดำเนินการของคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกระทรวงสาธารณสุขให้พิจารณาสนับสนุนและช่วยเหลือมูลนิธิผู้ถูกร้องในการขึ้นทะเบียนเป็นสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดหรือผลักดันให้เข้าสู่ระบบการควบคุมดูแลของรัฐ เพื่อให้รัฐสามารถเข้าไปกำกับดูแลการดำเนินการของผู้ถูกร้องได้ โดยอาศัยกลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนสนับสนุนด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ติดยาเสพติด ในสถานที่ดูแลผู้ติดยาเสพติดของผู้ถูกร้องและแนวทางของการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนหรือโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community – Based Treatment and Rehabilitation: CBTx) มาใช้ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดของชุมชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จากนั้นควรพัฒนาให้เกิดแนวทางในการปฏิบัติงานที่ดีเพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับประยุกต์ใช้กับสถานบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีบริบทเฉพาะของท้องถิ่นต่อไป ทั้งนี้ ต้องพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการดำเนินงานและกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมด้วย




