วันพฤหัสบดี, กันยายน 18, 2025
หน้าแรกข่าวประชาสัมพันธ์กสม. ตรวจสอบกรณีผู้ต้องขังถูกคุมขังเกินกำหนดโทษยาวนานเกือบ 2 ปี โดยไม่ได้รับการเยียวยา แนะกรมราชทัณฑ์พัฒนาระบบการนับโทษ และกองทุนยุติธรรมแก้ไขระเบียบการให้เงินช่วยเหลือ

Related Posts

กสม. ตรวจสอบกรณีผู้ต้องขังถูกคุมขังเกินกำหนดโทษยาวนานเกือบ 2 ปี โดยไม่ได้รับการเยียวยา แนะกรมราชทัณฑ์พัฒนาระบบการนับโทษ และกองทุนยุติธรรมแก้ไขระเบียบการให้เงินช่วยเหลือ

(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 32/2568) กสม. ตรวจสอบกรณีผู้ต้องขังถูกคุมขังเกินกำหนดโทษเกือบ 2 ปี โดยไม่ได้รับการเยียวยา แนะกรมราชทัณฑ์และกองทุนยุติธรรมพัฒนาระบบการนับโทษและแก้ไขระเบียบการให้เงินช่วยเหลือ – แนะกรมชลประทานแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากจากการบริหารจัดการน้ำเขื่อนสามแห่งในแม่น้ำชี และเร่งเยียวยาผู้เสียหายทั้งในและนอกเขตชลประทาน – มีความเห็นกรณีพิธีกรโทรทัศน์ใช้ท่าทีและถ้อยคำลดทอนศักดิ์ศรีของบุคคลอื่นด้วยเหตุแห่งสุขภาพและเพศภาวะ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 11.00 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 31/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

  1. กสม. ตรวจสอบกรณีผู้ต้องขังถูกคุมขังเกินกำหนดโทษยาวนานเกือบ 2 ปี โดยไม่ได้รับการเยียวยา แนะกรมราชทัณฑ์พัฒนาระบบการนับโทษ และกองทุนยุติธรรมแก้ไขระเบียบการให้เงินช่วยเหลือ

นายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่า ผู้ร้องถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา 5 คดี และศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง 2 คดี พิพากษาจำคุก 3 คดี ในขณะถูกคุมขังผู้ร้องทราบว่าเรือนจำกลางราชบุรี (ผู้ถูกร้องที่ 1) คุมขังตนเกินกำหนด จึงยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดพิษณุโลกให้คำนวณวันเริ่มต้นจำคุกใหม่ เนื่องจาก 2 คดีแรกศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ต่อมาผู้ร้องได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 โดยถูกคุมขังเกินมาเกือบ 2 ปี ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายจากกองทุนยุติธรรม (ผู้ถูกร้องที่ 2) แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ผู้ร้องถูกฟ้องเป็นจำเลยหลายคดี และถูกคุมขังครั้งแรกที่เรือนจำจังหวัดพิษณุโลกเมื่อเดือนสิงหาคม 2548 ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2548 ผู้ร้องถูกฟ้องในคดีที่ 3 และภายหลังศาลจังหวัดพิษณุโลกมีคำพิพากษาในคดีที่ 1 ผู้ร้องจึงถูกย้ายไปคุมขัง ณ เรือนจำกลางพิษณุโลก เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ระหว่างถูกคุมขังที่เรือนจำกลางพิษณุโลก ศาลจังหวัดพิษณุโลกพิพากษาลงโทษจำคุกผู้ร้องในคดีที่ 2 และคดีที่ 3 ต่อมาคดีที่ 1 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา คดีที่ 2 ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลจึงให้ปล่อยตัว เรือนจำกลางพิษณุโลกเห็นว่าต้องเริ่มนับวันเริ่มต้นจำคุกในคดีที่ 3 เมื่อคดีที่ 1 ถึงที่สุด คือ ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2553 โดยมิได้มีหนังสือสอบถามศาลพิษณุโลกอีกครั้งว่าจะต้องเริ่มต้นวันจำคุกตั้งแต่วันใด อันเป็นการคำนวณวันเริ่มต้นจำคุกในคดีที่ 3 ของผู้ร้องผิดพลาด

ต่อมา ผู้ร้องถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางราชบุรี (ผู้ถูกร้องที่ 1) เมื่อเดือนกันยายน 2556 และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดพิษณุโลกให้คำนวณวันเริ่มต้นจำคุกในคดีที่ 3 ซึ่งศาลจังหวัดพิษณุโลกได้ออกหมายจำคุกในคดีที่ 3 ให้ผู้ร้องใหม่ โดยให้เริ่มนับวันจำคุกคดีที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันแรกที่ผู้ร้องถูกคุมขังในคดีที่ 3 โดยในวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 เรือนจำกลางราชบุรี ได้คำนวณโทษจำคุกตามหมายจำคุกฉบับใหม่ เมื่อรวมโทษจำคุกในคดีที่ 3 คดีที่ 4 และคดีที่ 5 ปรากฏว่าวันพ้นโทษของผู้ร้องเป็นวันที่ 12 กันยายน 2558 ซึ่งเกินกำหนดมาแล้ว 662 วัน จึงปล่อยตัวผู้ร้องในวันดังกล่าวทันที

กสม. เห็นว่า การคำนวณโทษจำคุกให้แก่ผู้ร้องไม่ถูกต้องนับตั้งแต่ผู้ร้องถูกคุมขัง ณ เรือนจำกลางพิษณุโลก ต่อมาเมื่อผู้ร้องถูกย้ายตัวไปอยู่ในการควบคุมของเรือนจำกลางราชบุรี และมาทราบภายหลังว่าถูกคุมขังเกินกำหนด จึงขอให้ศาลกำหนดวันเริ่มนับโทษจำคุกในคดีที่ 3 ใหม่ และแม้เรือนจำกลางราชบุรีจะปล่อยตัวผู้ร้องทันทีหลังทราบว่าผู้ร้องถูกคุมขังเกินกำหนดมาเป็นระยะเวลานาน แต่กรณีดังกล่าว เห็นว่า ผู้ร้องอยู่ในการควบคุมของเรือนจำกลางราชบุรี ผู้ถูกร้องที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจตรวจสอบความถูกต้องของวันต้องโทษของผู้ร้อง และหากพบข้อสงสัยก็สามารถสอบถามไปยังศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยไม่ต้องรอให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาล แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ดำเนินการตรวจสอบการคำนวณวันเริ่มต้นจำคุกของผู้ร้องในคดีที่ 3 ส่งผลให้ผู้ร้องสูญเสียสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย รวมถึงโอกาสในการประกอบอาชีพเกือบ 2 ปี จึงรับฟังได้ว่า เรือนจำกลางราชบุรี ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ส่วนประเด็นที่ผู้ร้องไม่ได้รับการอนุมัติเงินเยียวยาจากการถูกจำคุกเกินกำหนด ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบสรุปได้ว่า ภายหลังจากที่ผู้ร้องได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำแล้ว ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม ผู้ถูกร้องที่ 2 แต่คณะอนุกรรมการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2561 มีมติไม่อนุมัติคำขอของผู้ร้อง โดยอ้างมติที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ 7/2560 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2560 เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ร้องตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 มาตรา 9 (3) และระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 9 (2) โดยมีความเห็นว่า “การถูกจำคุกตามคำพิพากษาเกินกำหนดไม่ได้เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจหรือกลั่นแกล้ง จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่เป็นข้อบกพร่องของกระบวนการยุติธรรม”

อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่าพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 มาตรา 9 (3) ซึ่งบัญญัติว่า “เงินกองทุนให้ใช้จ่ายเพื่อการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน” หลักการดังกล่าวมิได้มีเจตนารมณ์ให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือกลั่นแกล้งหรือเจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยไม่มีอำนาจเท่านั้น แต่ถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องให้การเยียวยา ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ไม่อนุมัติเงินช่วยเหลือ จึงขัดต่อวัตถุประสงค์ของกองทุนยุติธรรมและเป็นอุปสรรคต่อการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน จึงรับฟังได้ว่ากองทุนยุติธรรม ผู้ถูกร้องที่ 2 ละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 จึงมีข้อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้

(1) ให้กองทุนยุติธรรม และคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม อนุมัติให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ร้อง และยกเลิกการใช้หลักเกณฑ์ตามมติคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ 7/2560 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2560 ในการพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือกรณีเป็นจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาเกินกำหนดตามข้อ 9 (2) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งให้กองทุนยุติธรรม ใช้รายงานฉบับนี้เป็นข้อมูลประกอบการทบทวนคำสั่งไม่อนุมัติเงินช่วยเหลือผู้ยื่นคำขอกองทุนยุติธรรมรายอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่ให้ยื่นหนังสือทบทวนผลการพิจารณาภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาที่กำหนดไว้ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือประชาชนในการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

(2) ให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการ ตรวจสอบการกระทำหรือละเลยการกระทำของเรือนจำกลางราชบุรี และเรือนจำกลางพิษณุโลก และดำเนินการไปตามหน้าที่และอำนาจเพื่อป้องกันมิให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้อีก รวมทั้งให้กำหนดมาตรการหรือแนวทาง ตลอดจนกลไก เครื่องมือ หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อนำไปใช้คำนวณวันต้องโทษจำคุกของผู้ต้องขังในกรณีที่ผู้ต้องขังมีคดีระหว่างการพิจารณาหลายคดี ให้ถูกต้องตามกฎหมาย มิให้เกิดการคุมขังผู้ต้องขังเกินกว่าคำพิพากษา โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับสำนักงานศาลยุติธรรม นอกจากนี้ให้ตรวจสอบข้อมูลวันต้องโทษจำคุกของผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถานทั้งหมด และหากมีกรณีสงสัยเกี่ยวกับการนับวันต้องโทษ ให้เรือนจำหรือทัณฑสถานที่มีกรณีสงสัยเร่งหารือไปยังศาลที่มีคำพิพากษาเกี่ยวกับการนับวันต้องโทษที่ถูกต้อง แล้วดำเนินการไปตามหมายของศาลต่อไป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts