ขอให้ตรวจสอบและพิจารณากรณีพลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีการใช้อำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมาย และไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีการใช้กิริยาวาจาหรือประพฤติตนในลักษณะที่ไม่สมควร
สืบเนื่องจากกรณีที่พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐฯ ได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 241/2568 ลงวันที่ 17 เมษายน 2568 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ กรณีทุจริตการสอบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยอ้างในคำสั่งว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวอาชญากรรม ทางเทคโนโลยีได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ให้ดำเนินคดีอาญากับพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ และพวก โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันนำเอกสารซึ่งเป็นข้อสอบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไปจากการครอบครอง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ได้รับโทษตามกฎหมาย” โดยพนักงานสอบสวนกองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 รับคำร้องทุกข์ไว้เป็นคดีอาญาที่ 632/2568
ทั้งที่ในข้อเท็จจริงพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐฯ รู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าไม่มีผู้เสียหายหรือบุคคลใดร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ในข้อหาดังกล่าว และพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ก็ไม่ได้ถูกดำเนินคดีอาญาแต่อย่างใด แต่พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐฯ กลับลุแก่อำนาจ กระทำการที่ฝ่าฝืนต่อหลักความชอบด้วยกฎหมายและหลักสุจริตของการใช้อำนาจโดยการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยใช้ฐานอ้างอิงว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ทั้งที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ไม่มีกรณีถูกแจ้งข้อกล่าวหาหรือถูกดำเนินคดีอาญาแต่อย่างใด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐฯ ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังใช้อำนาจในตำแหน่งออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่สุจริต ขัดต่อหลักนิติธรรม โดยบิดเบือนข้อเท็จจริงกล่าวหาว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ เป็นผู้ต้องหาคดีอาญาในเรื่องการทุจริตข้อสอบจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ซึ่งถือได้ว่าการออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ต่อบุคคลที่ 3 ว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ มีพฤติการณ์ในการโกงข้อสอบ ทุจริตการสอบ มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงและพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ไม่มีกรณีต้องหาคดีอาญา
นอกจากนี้พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐฯ ยังได้แจ้งเวียนฯ คำสั่ง ตร.ที่ 241/2568 ดังกล่าวไปให้กับคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตามรายชื่อทั้งหมด 11 คน และยังได้ให้สัมภาษณ์ทางสื่อสาธารณะ สื่อออนไลน์ที่เป็นช่องยูทูปในประเด็นดังกล่าว จนทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศซึ่งได้รับชมรับฟังเข้าใจจนถึงทุกวันนี้ว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาอันเกี่ยวกับการทุจริตข้อสอบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามที่เป็นข่าวแพร่หลายในหลายช่องทาง
ต่อมาคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยพลตำรวจเอกกรไชย คล้ายคลึง ประธานกรรมการฯ ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติของการออกคำสั่งที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงของพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐฯ จึงมอบหมายให้พลตำรวจโทมณเทียร พันธ์อิ่ม ในฐานะเลขานุการ มีหนังสือแจ้งให้พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐฯ แก้ไขคำสั่งดังกล่าวให้ถูกต้อง
พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐฯ จึงได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 336/2568 แก้ไขคำสั่งดังกล่าวโดยเปลี่ยนจากชื่อพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาเป็นผู้กระทำความผิดกับพวกแทน ซึ่งจะเห็นได้ว่าห้วงระยะเวลาในการที่พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐฯ จะแก้ไขคำสั่งใช้เวลาถึง 29 วัน ทั้งๆที่ตนเองทราบดีอยู่แล้วว่าเรื่องที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ต้องหาคดีอาญานั้นไม่เป็นความจริง แทนที่จะเร่งรัดแก้ไขและออกมาแถลงข่าวให้สาธารณชนทราบว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ไม่มีมูลต้องหาคดีอาญาและไม่สามารถที่จะตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ได้ แต่กลับพยายามทอดเวลาไม่แก้ไข ไม่แก้ข่าว ไม่ทำให้ความจริงปรากฏต่อสาธารณชนเพื่อจะให้สังคม ประชาชน และผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเห็นว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ไม่ได้โกงข้อสอบ ลักข้อสอบ หรือร่วมกับพวกทุจริตข้อสอบ
การกระทำนี้ทำให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ได้รับความเสียหายเป็นอย่างยิ่งจนถึงปัจจุบัน อันเกิดจากการกระทำของพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐฯ ที่กระทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายและจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ฯ ได้รับความเสื่อมเสีย ถูกสังคมมองว่าเป็นคนชั่ว คนเลว มีพฤติการณ์ทุจริตแม้กระทั่งการสอบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย









