มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ยื่นร้องกองปราบ เอาผิด “พระสันติ ฐานิสฺสโร” หลังปรากฏคลิปใช้คำหยาบพาดพิง “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว เข้าข่ายดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ “อนันต์ชัย” ย้ำ ต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง พร้อมอัปเดตความคืบหน้าคดีศาสนาอีกหลายคดีที่ตำรวจมีคำสั่งฟ้องแล้ว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 ตุลาคม ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วย ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา รองประธานมูลนิธิ หรือ “มหาหมี” เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เพื่อดำเนินคดีกับ “พระสันติ นราทร” หรือ “พระสันติ ฐานิสฺสโร” ในข้อหา “ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136
นายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า การร้องทุกข์ครั้งนี้มีสาเหตุมาจากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ใน TikTok เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยผู้ใช้บัญชีชื่อ “สุชาติ เอเอเอ” โพสต์คลิปที่พระสันติพูดถึง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว หรือ “บิ๊กเต่า” รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ด้วยถ้อยคำหยาบคายและส่อเจตนาดูหมิ่น โดยใช้คำว่า “เสือก” ซ้ำถึง 5 ครั้ง เช่น “ฝากถึงท่านบิ๊กเต่า ถ้าท่านไม่มาเสือก พระจัดการเองได้ อย่ามาเสือกสิ เอากฎหมายมาข่มพระ” เป็นต้น
นายอนันต์ชัยกล่าวว่า คำพูดดังกล่าวเข้าข่ายดูหมิ่นเจ้าพนักงานโดยชัดเจน เนื่องจากเป็นการใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อบุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งยังใส่ความ “บิ๊กเต่า” ว่าเข้ามาก้าวก่ายเรื่องคณะสงฆ์ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจของเจ้าพนักงานสอบสวน และเป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 222/2568 ซึ่งแต่งตั้ง “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามทางพระพุทธศาสนา” เพื่อคุ้มครองพระธรรมวินัยและเสริมสร้างความมั่นคงของศาสนา
นอกจากนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 19/2568 และ 20/2568 ว่าด้วยแนวทางการกำกับดูแลพระภิกษุสงฆ์ให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างถูกต้อง ดังนั้น คำกล่าวของพระสันติฯ จึงถือเป็นการดูหมิ่นโดยไม่มีมูล และสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ
สำหรับสาเหตุที่พระสันติฯ พาดพิงถึง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่สอบสวนกลางภายใต้การกำกับของ “บิ๊กเต่า” ได้เร่งดำเนินคดีต่อพระภิกษุที่กระทำผิดกฎหมายหลายกรณีในปี 2568 และได้จัดตั้ง “ศูนย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและส่งเสริมพระธรรมวินัย” เพื่อรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม จึงอาจเป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจจากบางฝ่าย
นายอนันต์ชัยยังเผยถึงความคืบหน้าคดีทางศาสนาอื่น ๆ ที่มูลนิธิฯ กำลังติดตาม โดยระบุว่า
- คดี “เชื่อมจิต” มีผู้ต้องหา 8 ราย ล่าสุดพนักงานสอบสวน บก.ปอท. มีคำสั่งฟ้อง และเตรียมส่งตัวให้อัยการในวันที่ 27 ตุลาคมนี้
- คดี “พุทธสาวก” ที่ถูกแจ้งความฐานแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย มีคำสั่งฟ้องและส่งตัวผู้ต้องหาแล้ว
- คดี “คนสอนธรรม” ซึ่งถูกกล่าวหาดูหมิ่นมหาเถรสมาคมและเจ้าพนักงาน สน.โชคชัย ได้ออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา
พร้อมกันนี้ นายอนันต์ชัยยังเปิดเผยว่า มูลนิธิฯ เตรียมแจ้งความเพิ่มเติมเอาผิด “พระมนัส กลีบแก้ว” หรือ “พระไพโรจน์ รองศรีนาค” หลังพบหลักฐานว่าได้ประกาศ “ตั้งค่าหัว” ตนเอง 100,000 บาท ซึ่งจะถูกดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 (4), 85, 392 และ 397
ด้าน ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา รองประธานมูลนิธิฯ กล่าวถึงกรณี “พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์” ที่ถูกภาคทัณฑ์และสั่งย้ายออกจากวัดชนะสงครามว่า มูลนิธิฯ เตรียมทำหนังสือถึงพระเทพสุธี ผู้รักษาการเจ้าอาวาส เพื่อขอให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม เพราะเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย เนื่องจากพระมหาอุเทนไม่ได้กระทำผิดขั้นร้ายแรง และได้ขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ มูลนิธิฯ จะเร่งประสานให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยหาทางออกโดยสันติ เชื่อว่าพระผู้ใหญ่ทุกท่านยังมีเมตตาและปรารถนาให้คณะสงฆ์กลับมาสามัคคีกันอีกครั้ง
นายอนันต์ชัยทิ้งท้ายว่า การดำเนินงานของมูลนิธิทนายกองทัพธรรมไม่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือศาสนา แต่เป็นการปกป้องหลักนิติธรรมและความยุติธรรม พร้อมย้ำว่า กรณี “พระสันติ” จะต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดการดูหมิ่นเจ้าหน้าที่รัฐอีกในอนาคต.
