กระทรวงดิจิทัลฯ จับมือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์เต็มสูบ เปิดผลปฏิบัติการเดือนเดียวจับ 73 ราย ยึดทรัพย์กว่า 522 ล้านบาท พร้อมทลายฐานฟอกเงินข้ามชาติและยึดคริปโต 400 ล้าน เร่งขยายผลล่าเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้นโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ประกาศให้ “การปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์” เป็น วาระแห่งชาติ
นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ เปิดเผยว่า ได้บูรณาการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม ปปง. กระทรวงมหาดไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับมาตรการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างเข้มข้น
พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอส.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. จัดตั้ง “ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์” เพื่อเร่งรัดการสืบสวน จับกุม และปิดช่องทางการเงินของเครือข่ายสแกมเมอร์
จากข้อมูลระหว่างวันที่ 1–26 ตุลาคม 2568 พบว่า มีผู้เสียหายแจ้งเหตุรวม 29,232 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1,853 ล้านบาท โดยประเภทคดีที่พบมากที่สุด ได้แก่
- หลอกขายสินค้า/บริการ 14,892 คดี
- หลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล 4,822 คดี
- หลอกทำงานหารายได้พิเศษ 2,680 คดี
ส่วนคดีที่สร้างความเสียหายสูงสุด ได้แก่
- หลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ 504 ล้านบาท
- หลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล 428 ล้านบาท
- หลอกทำงานออนไลน์ 329 ล้านบาท
ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ ได้เปิดปฏิบัติการใหญ่หลายครั้งในเดือนตุลาคม เช่น
- SkyFall ทลายเครือข่ายฟอกเงินผ่าน Huione Pay ความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท
- Romance 114 ลวงเหยื่อผ่านความสัมพันธ์ สูญเงินกว่า 114 ล้านบาท
- Freeze Crypto อายัดกระเป๋าเงินดิจิทัล 12 ล้าน USDT (มูลค่าราว 400 ล้านบาท)
- ปฏิบัติการ “ตะครุบจีนเทา” และ “Double Blackout” ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
รวมผลจับกุมผู้ต้องหา 73 ราย (คนไทย 51 ราย ต่างชาติ 22 ราย) มูลค่าความเสียหายกว่า 1,400 ล้านบาท และสามารถยึดทรัพย์สินได้กว่า 522 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังสามารถ “ช่วยเหลือเหยื่อก่อนเสียเงิน” ได้ทันเวลา 7 ราย ด้วยการประสานงานกับธนาคารและแพลตฟอร์มการเงินต่างๆ รวมถึงการทำงานร่วมกับ US Secret Service และบริษัท Tether เพื่ออายัดกระเป๋าเงินคริปโตของเครือข่ายสแกมเมอร์
ในส่วนของอาชญากรรมข้ามชาติ มีการประสานกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ จนสามารถจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวเกาหลีใต้ที่ตั้งฐานหลอกลวงอยู่ในประเทศไทย จำนวน 3 ราย พร้อมขยายผลเชื่อมโยงเครือข่ายในต่างประเทศ
ด้านการคัดกรองบุคคลหลบหนีเข้าเมืองบริเวณชายแดนแม่สอด จ.ตาก เจ้าหน้าที่ตรวจพบกว่า 1,299 ราย เป็นชาวต่างชาติ 1,267 ราย จาก 28 ประเทศ โดยในจำนวนนี้พบสัญชาติจีน 193 ราย ซึ่งมีถึง 12 รายที่มีหมายจับจากทางการจีน
กระทรวงดิจิทัลฯ ยังเร่งปิดกั้นเว็บไซต์และแพลตฟอร์มหลอกลวงออนไลน์แล้วกว่า 2,754 URLs แบ่งเป็น Facebook 1,065 URLs, TikTok 916 URLs, LINE 485 URLs, เว็บไซต์ทั่วไป 169 URLs และ Instagram 119 URLs พร้อมประสาน Meta, Google, TikTok และ LINE เพื่อช่วยตรวจสอบและลบเนื้อหาหลอกลวง
พร้อมกันนี้ ได้ผลิตสื่อประชาสัมพันธ์กว่า 360 คอนเทนต์ เตือนภัยอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันและรู้เท่าทันกลโกงในโลกดิจิทัล
นายไชยชนก ย้ำว่า “รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกต่อไป” และยืนยันว่า กระทรวงดิจิทัลฯ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเดินหน้ากวาดล้าง “ขบวนการสแกมเมอร์” ทั้งในและต่างประเทศอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้สังคมไทยอย่างยั่งยืน.



























