ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีน ในปี 2025 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข่งขันอย่างเข้มข้น โดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น BYD, Geely และ Changan ยังคงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมหลายระดับราคา พร้อมนำเทคโนโลยีแบตเตอรีและระบบขับขี่อัจฉริยะมาใช้ในรถรถที่ราคาย่อมเยา ทำให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น
ในไตรมาสที่สองของปี 2025 จีนมีสัดส่วนตลาดถึง 63% ของยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ทั่วโลก โดยมียี่ห้อชั้นนำ อาทิ BYD ครองแชมป์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 22% ตามมาด้วย Geely อยู่ที่ 10% ขณะที่ Tesla ยอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนถึง 13% และส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 8% สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์จีนก้าวขึ้นมาเป็นบทบาทผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้า และโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบาย นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้รับรายงานจากนางสาวสายพร ใบบริบาลกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงแนวโน้มตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีนปี 2025 และโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน
โดยทูตพาณิชย์รายงานว่า ปี 2025 มีการคาดการณ์ว่ายอดขายรวมในประเทศและส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน จะสูงถึง 16.5 ล้านคัน เติบโต 30% โดยในไตรมาสที่สองของปี 2024 รถพลังงานใหม่มีสัดส่วนการครองตลาดภายในประเทศถึง 55% และในครึ่งแรกของปี 2025 ผู้บริโภคที่เลือกใช้รถพลังงานใหม่มีสัดส่วนเกิน 60%
โดยช่วงราคาของรถยนต์พลังงานใหม่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอยู่ที่ 100,000-150,000 หยวน (456,000-600,000 บาท) ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและการใช้งานจริง ทำให้ผู้ผลิตเร่งนำเทคโนโลยีจากรุ่นราคาสูงมาใส่ในรุ่นราคาย่อมเยามากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ถึง 70% เห็นว่าแบตเตอรีสำหรับระยะทางขับขี่ 400–500 กิโลเมตร เพียงพอต่อการใช้งานประจำวัน และมีเพียงส่วนน้อยที่ต้องการให้แบตเตอรีรองรับระยะขับขี่ 600 กิโลเมตร
จากข้อมูล พบว่า ในปี 2023 ผู้บริโภคที่ซื้อรถใหม่มากกว่า 50% เห็นว่าการซื้อรถไม่ได้เป็นเพียงซื้อครั้งแรกเพื่อทดลองอีกต่อไป แต่เป็นการอัปเกรดคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง และคาดว่าผู้บริโภคที่มีแนวคิดเช่นนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ภายในปี 2030
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสนใจต่อรูปแบบการขับขี่อัจฉริยะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากเพียง 5% ในกลางปี 2023 สู่ 12% ในกลางปี 2024 ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงต้นปี 2025 บริษัทรถชั้นนำของจีน เช่น BYD, Changan และ Geely ได้ร่วมกันขับเคลื่อนกระแส “เทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะเพื่อทุกคน” ทำให้ในปัจจุบันรถที่ติดตั้งระบบช่วยขับบนทางด่วนมีราคาไม่ถึง 100,000 หยวน (456,000 บาท) และรถที่ติดตั้งระบบช่วยขับขี่ในเขตเมือง ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 200,000 หยวน (912,000 บาท) สะท้อนให้เห็นว่าจีนกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการเข้าถึงเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ
ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนในปี 2025 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข่งขันอย่างเข้มข้น โดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น BYD, Geely และ Changan ยังคงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมหลายระดับราคา พร้อมนำเทคโนโลยีแบตเตอรีและระบบขับขี่อัจฉริยะมาใช้ในรถรถที่ราคาย่อมเยา ทำให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น
สำหรับโอกาสของผู้ประกอบการไทย อาจใช้กลยุทธ์ของแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง อาทิ การให้ความสำคัญต่อการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน และการสร้างแบรนด์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดต่างประเทศ เป็นแนวทางในการออกแบบด้านผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา การใช้เทคโนโลยีการผลิต เพื่อวางแผนส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ ให้สามารถแข่งขันและตอบสนองความต้องการของตลาดเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม และพิจารณาหาโอกาสในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าจีนเพื่อขยายตลาดต่อไป



