วันจันทร์, พฤศจิกายน 10, 2025
หน้าแรกต่างประเทศจีนอีวี “จีน” ครองโลก อัจฉริยะสูง ราคาย่อมเยา ไทยเกาะติดห่วงโซ่อุปทาน

Related Posts

อีวี “จีน” ครองโลก อัจฉริยะสูง ราคาย่อมเยา ไทยเกาะติดห่วงโซ่อุปทาน

ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีน ในปี 2025 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข่งขันอย่างเข้มข้น โดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น BYD, Geely และ Changan ยังคงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมหลายระดับราคา พร้อมนำเทคโนโลยีแบตเตอรีและระบบขับขี่อัจฉริยะมาใช้ในรถรถที่ราคาย่อมเยา ทำให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

ในไตรมาสที่สองของปี 2025 จีนมีสัดส่วนตลาดถึง 63% ของยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ทั่วโลก โดยมียี่ห้อชั้นนำ อาทิ BYD ครองแชมป์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 22% ตามมาด้วย Geely อยู่ที่ 10% ขณะที่ Tesla ยอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนถึง 13% และส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 8% สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์จีนก้าวขึ้นมาเป็นบทบาทผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้า และโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่  ตามนโยบาย นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้รับรายงานจากนางสาวสายพร ใบบริบาลกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงแนวโน้มตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีนปี 2025 และโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน

โดยทูตพาณิชย์รายงานว่า ปี 2025 มีการคาดการณ์ว่ายอดขายรวมในประเทศและส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน จะสูงถึง 16.5 ล้านคัน เติบโต 30% โดยในไตรมาสที่สองของปี 2024 รถพลังงานใหม่มีสัดส่วนการครองตลาดภายในประเทศถึง 55% และในครึ่งแรกของปี 2025 ผู้บริโภคที่เลือกใช้รถพลังงานใหม่มีสัดส่วนเกิน 60%

โดยช่วงราคาของรถยนต์พลังงานใหม่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอยู่ที่ 100,000-150,000 หยวน (456,000-600,000 บาท) ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและการใช้งานจริง ทำให้ผู้ผลิตเร่งนำเทคโนโลยีจากรุ่นราคาสูงมาใส่ในรุ่นราคาย่อมเยามากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ถึง 70% เห็นว่าแบตเตอรีสำหรับระยะทางขับขี่ 400–500 กิโลเมตร เพียงพอต่อการใช้งานประจำวัน     และมีเพียงส่วนน้อยที่ต้องการให้แบตเตอรีรองรับระยะขับขี่ 600 กิโลเมตร

จากข้อมูล พบว่า ในปี 2023 ผู้บริโภคที่ซื้อรถใหม่มากกว่า 50% เห็นว่าการซื้อรถไม่ได้เป็นเพียงซื้อครั้งแรกเพื่อทดลองอีกต่อไป แต่เป็นการอัปเกรดคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง และคาดว่าผู้บริโภคที่มีแนวคิดเช่นนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ภายในปี 2030

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสนใจต่อรูปแบบการขับขี่อัจฉริยะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากเพียง 5% ในกลางปี 2023 สู่ 12% ในกลางปี 2024 ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงต้นปี 2025 บริษัทรถชั้นนำของจีน เช่น BYD, Changan และ Geely ได้ร่วมกันขับเคลื่อนกระแส “เทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะเพื่อทุกคน” ทำให้ในปัจจุบันรถที่ติดตั้งระบบช่วยขับบนทางด่วนมีราคาไม่ถึง 100,000 หยวน (456,000 บาท) และรถที่ติดตั้งระบบช่วยขับขี่ในเขตเมือง ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 200,000 หยวน (912,000 บาท) สะท้อนให้เห็นว่าจีนกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการเข้าถึงเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ

ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนในปี 2025 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข่งขันอย่างเข้มข้น โดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น BYD, Geely และ Changan ยังคงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมหลายระดับราคา พร้อมนำเทคโนโลยีแบตเตอรีและระบบขับขี่อัจฉริยะมาใช้ในรถรถที่ราคาย่อมเยา ทำให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

สำหรับโอกาสของผู้ประกอบการไทย อาจใช้กลยุทธ์ของแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง อาทิ การให้ความสำคัญต่อการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน และการสร้างแบรนด์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดต่างประเทศ เป็นแนวทางในการออกแบบด้านผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา การใช้เทคโนโลยีการผลิต เพื่อวางแผนส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ ให้สามารถแข่งขันและตอบสนองความต้องการของตลาดเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม และพิจารณาหาโอกาสในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าจีนเพื่อขยายตลาดต่อไป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts