“เอฟดีไอ อินเทลลิเจนซ์ ทำการสำรวจผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จำนวน 101 คนทั่วโลก ระบุประเทศเศรษฐกิจ 3 แห่งที่คาดว่าจะขยายส่วนแบ่งการลงทุนในปี 2026 พบว่าจีนได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดถึง 74 ครั้ง บริษัทต่างๆ อาทิ ไบต์แดนซ์, บีวายดี, ไฮเออร์, หัวเหวย, อาลีบาบา กำลังดำเนินกลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศอย่างแข็งขัน สร้างโอกาสกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ กลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของโลก”
สำนักข่าวซินหัว ระบุ รายงานฉบับล่าสุดจากเอฟดีไอ อินเทลลิเจนซ์ (fDi Intelligence) สื่อสิ่งพิมพ์งานวิจัยด้านการลงทุนสังกัดไฟแนนเชียล ไทม์ส (Financial Times) เผยว่าผู้เชี่ยวชาญระดับโลกที่ถูกสัมภาษณ์จำนวนมากที่สุด คาดว่าจีนจะเป็นแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2026
รายงานซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ระบุว่าศูนย์กลางการค้าและการลงทุนระดับโลก กำลังเคลื่อนตัวลงสู่ภูมิภาคตอนใต้อย่างรวดเร็ว โดยกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทั่วโลก โดย เอฟดีไอ อินเทลลิเจนซ์ ได้ทำการสำรวจผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จำนวน 101 คนทั่วโลก ในเดือนตุลาคม 2025 เมื่อขอให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญระบุประเทศเศรษฐกิจ 3 แห่งที่คาดว่าจะขยายส่วนแบ่งของตน ในฐานะแหล่งที่มาของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของโลกในปี 2026 พบว่าจีนได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดถึง 74 ครั้ง
ภูมิทัศน์ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทต่างๆ อาทิ ไบต์แดนซ์ (ByteDance) จี๋ลี่ โฮลดิง (Geely Holding) บีวายดี (BYD) เจดี.คอม (JD.com) และไฮเออร์ (Haier) เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนักลงทุนจีนที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดทั่วโลก เคียงข้างยักษ์ใหญ่อย่างหัวเหวย (Huawei) อาลีบาบา (Alibaba) และเทนเซ็นต์ (Tencent) บริษัทเหล่านี้กำลังดำเนินกลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศอย่างแข็งขัน เพื่อเข้าถึงตลาดใหม่พร้อมผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย
นอกจากจีน กลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย และซาอุดีอาระเบีย มีบทบาทโดดเด่นในผลสำรวจเช่นกัน โดยได้รับการเอ่ยถึง 40 ครั้ง 31 ครั้ง และ 29 ครั้งตามลำดับ
โรบิน วาน พูเยนโบรค ผู้อำนวยการบริหารของสมาคมศูนย์การค้าโลก กล่าวว่าศูนย์กลางการค้าที่กำลังเติบโต เช่น ลากอส เซาเปาโล มุมไบ และดูไบ จะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งของศูนย์กลางดั้งเดิมในโลกตะวันตก ซึ่งบีบให้ภาคธุรกิจและผู้กำหนดนโยบายต้องปรับตัวเข้ากับระเบียบแบบหลายศูนย์กลาง โดยปีดังกล่าวจะเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ กลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของโลกอย่างแท้จริง
