วันพฤหัสบดี, เมษายน 25, 2024
หน้าแรกสืบเศรษฐกิจการเงินผ่า! ปรากฏการณ์ FTX ถึงเวลา ก.ล.ต. หนุนคริปโตพันธุ์ไทย สร้างความมั่นคงตลาด สินทรัพย์ดิจิทัล

Related Posts

ผ่า! ปรากฏการณ์ FTX ถึงเวลา ก.ล.ต. หนุนคริปโตพันธุ์ไทย สร้างความมั่นคงตลาด สินทรัพย์ดิจิทัล

การล้มละลายของ FTX แค่ความผิดพลาดขององค์กร ไม่ใช่ภาพรวมของอุตสาหกรรมคริปโตทั้งระบบ หาก ก.ล.ต. จะใช้วิกฤตครั้งนี้ สนับสนุนกระดานเทรดคริปโตไทยให้เท่าเทียมกับต่างชาติ วงการคริปโตไทยจะเติบโตและมีความมั่นคงปลอดภัยในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแท้จริง จับตา! วงการกลับมาสดใสด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการล่มสลายของแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล FTX ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (exchange) ที่เคยมีมูลค่าการซื้อขายสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก และเจ้าของเหรียญคริปโตสกุล FTT ซึ่งได้ประกาศตัวเข้าสู่ภาวะล้มละลาย เกิดจากความล้มเหลวในการรักษาความปลอดภัยการแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโตของ FTX การใช้เงินของลูกค้าในทางที่ผิด ถูกอ้างถึงเป็นหนึ่งในความเสี่ยงหลักในตลาดคริปโต การขาดความโปร่งใส กลายเป็นศูนย์กลางของความเสี่ยงที่ทำให้คริปโตทั่วโลกพลอยสั่นคลอนไปด้วย

การออกมาประกาศยอมรับความผิดพลาดของ FTX ว่าแพลตฟอร์มถูกแฮก และมีเงินจำนวนกว่า 477 ล้านดอลลาร์สหรัฐหายออกไปจากระบบ พร้อมแจ้งให้ผู้ใช้งานลบแอปพลิเคชันโดยทันที ทำให้นักลงทุนคริปโตสงสัยในข้อเท็จจริงดังกล่าว เนื่องจากเงิน wallet ที่ FTX ดูแล ไม่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชันแต่อย่างใด ขณะที่ผู้ก่อตั้งอย่าง SBF ประกาศยอมรับว่า ตัวเองทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง และลาออกจากตำแหน่ง CEO ในที่สุด

จึงไม่แปลกที่ในมุมมองของนักลงทุนบิตคอยน์ อย่าง Robert Kiyosaki ผู้เขียนหนังสือ “พ่อรวย สอนลูก” จะไม่เห็นด้วยที่จะใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ FTX ระบุว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะเหรียญบิตคอยน์กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะล่มสลาย เพราะ FTX ไม่ได้เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมคริปโตทั้งระบบ ตัวของ Kiyosaki ยังศรัทธาในบิตคอยน์ และเชื่อว่าอนาคตของบิตคอยน์จะกลับมาสดใสด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างแน่นอน

เช่นเดียวกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด เจ้าของแพลตฟอร์ม ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (EXCHANGE) “Zipmex” ซึ่งมีบริษัทแม่ในสิงคโปร์ นำผลิตภัณฑ์ “Zipup+” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าไทยฝากสินทรัพย์ไว้ที่ Zipmex global สิงคโปร์ ไปลงทุนในแฟลตฟอร์มสินเชื่อคริปโตของ บาเบลล์ไฟแนนซ์ (Babel Finance) และ เซลเซียส (Celsius ) ซึ่งทั้งสองแห่งต่างประสบปัญหาจากการล่มสลายของเหรียญ LUNA จนทั้งสองบริษัทต้องประกาศระงับการถอนเงิน ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ใน Zipup+ โดยเฉพาะ บิทคอยน์(BTC), อีเธอเรียม (ETH), USDTและ USDC เป็นต้น ไม่สามารถทำธุรกรรมได้ ส่งผลให้ Zipmex ประเทศไทย ประกาศระงับการเพิกถอนเงินบาทและคริปโตเคอร์เรนซีเป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2565 ส่งผลกระทบต่อลูกค้านักลงทุนราว 3,800 ราย ความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท ก็เป็นเพียงแนวทางการดำเนินงานของบริษัท “Zipmex”  ที่ไม่ใช่ความผิดของระบบอุตสาหกรรมคริปโตฯ แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นของแพลตฟอร์มต่างชาติ ล้วนมีผลกระทบกับนักลงทุนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากที่ผ่านมานักลงทุนรายย่อยของไทยจำนวนมาก หันไปเทรดคริปโตต่างประเทศ ทั้งที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. และที่อยู่เหนือการควบคุมของ ก.ล.ต. ซึ่งหากเกิดความผันผวนขึ้นก็ยากจะเข้าไปบริหารจัดการ แต่ก็เป็นธรรมดา ถ้าของในบ้านไม่ดี ไม่อร่อย ติดกฎระเบียบหยุมหยิม ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมคนไทยโหยหาสินค้าใหม่นอกบ้าน เพราะเข้าถึงง่าย เครื่องมืออำนวยความสะดวกครบครัน และกระดานซื้อขายต่างประเทศไม่มีเกณฑ์การซื้อขายขั้นต่ำ เมื่อนักลงทุนหนีไปเทรดกระดานนอก เหรียญนอก ก.ล.ต. เอื้อมไม่ถึง โอกาสความเสียหายของนักลงทุนไทยก็ยิ่งเสี่ยงตาม อย่าชี้หน้าว่านักลงทุนเจ๊งกันเพราะศึกษาน้อย เพราะขนาดทุนใหญ่ยังหลวมตัวเข้าไปจับมือกับกระดานเทรดเมืองนอกจนเกือบเสียหายมาแล้ว

อย่าว่าแต่การจะควบคุมแพลตฟอร์คริปโตต่างชาติที่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เลย แม้แต่ในวงการตลาดหุ้นที่เกิดมานานหลายสิบปี อยู่ใกล้หูใกล้ตา ก.ล.ต. ยังเกิดมหกรรมการซื้อขายหุ้น “MORE” เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โบรกเกอร์บางคนใช้คำว่า “ปล้นกลางแดด” เนื่องจากเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะไม่เคยมีใครที่จะกระทำการแบบนี้ ที่มาทำรายการซื้อขายและจะชิ่งไม่ยอมจ่ายเงิน โดยทิ้งภาระให้เป็นหน้าที่ของโบรกเกอร์ที่ต้องทำหน้าที่ในการเคลียริ่งหุ้น 4.5 พันล้านบาท

รายการซื้อขายหุ้น MORE เมื่อวันพฤหัสบดี (10 พ.ย.65) มีการตั้งคำสั่งซื้อ (ATO) ที่ราคา 2.90 บาท มีปริมาณการซื้อขายที่  1,531.77 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 4,442.13 ล้านบาท รายการซื้อขายหุ้น MORE ที่เกิดขึ้นในปริมาณที่มาก ซึ่งกรณีปกติแบบนี้จะเป็นรายการซื้อขายรายใหญ่ (บิ๊กล็อต) ทำให้โบรกเกอร์ที่รับคำสั่งซื้อ เริ่มรู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น และเริ่มตรวจสอบโบรกเกอร์ด้วยกันจึงรู้ว่าคำสั่งซื้อ ATO ที่ 2.90 บาท  กระจายจากโบรกเกอร์ประมาณ 14-20 ราย เพราะเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำหนดว่าลูกค้าแต่ละรายไม่สามารถสั่งซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในแต่ละครั้งได้เกิน 20 ล้านหุ้นได้ ตัวแทนโบรกเกอร์ได้เข้าหารือกับสำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อร่วมหาทางออกและให้คำสั่งซื้อดังกล่าวเป็นโมฆะ เพราะเห็นว่าหุ้น MORE  มีสภาพการซื้อขายที่ผิดปกติ โดยเหล่าโบรกเกอร์มองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น AI ของตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะตรวจจับได้ แต่กับพลาดท่า ทำให้รู้ว่าตลาดทุนยังมีช่องโหว่ให้ฉ้อฉล กลายเป็นชิ้นเนื้อร้าย ตีหัวโบรกเกอร์ผ่านหุ้น MORE ระบบ AI ตรวจสอบบัญชีซื้อขายผิดปกติมีไว้ทำไม ถ้าไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างทันท่วงที

เหตุการณ์หุ้น MORE ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน หากยังมีช่องโหว่ให้ทุนโบรกเกอร์ใหญ่และทุนปั่นบางรายเข้ามาชิงความได้เปรียบ หักเหลี่ยมเฉือนคมจนนักลงทุนรายย่อยกลายเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก จะหันไปแสวงหาการลงทุนโลกใหม่อย่าง คริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะกระดานเทรดคริปโตในต่างประเทศที่อยู่เหนือการควบคุมของ ก.ล.ต.

เพราะฉะนั้น หาก ก.ล.ต. จะใช้วิกฤตครั้งนี้ สนับสนุนวงการกระดานเทรดคริปโตไทยให้เท่าเทียมกับกระดานของต่างชาติ วงการคริปโตไทยจะได้เติบโตภายใต้การดูแลอย่างเท่าเทียมจริงๆ และมีความมั่นคงปลอดภัยในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่มีเงื่อนไขลักลั่น อาทิ exchange นอกสร้าง vollume เทรดเทียม ไม่เคยโดนสอบสวน ไม่เคยโดนลงโทษ ขณะที่ exchange ไทยกลับโดนลงโทษหากทำแบบเดียวกัน ไม่มีมาตรการชัดเจนที่ไปจัดการกับ Exchange นอกที่ไม่อยู่ภายใต้กำกับของ ก.ล.ต. ทำให้ exchange นอกเหล่านี้ได้เปรียบ ไม่ต้องเล่นตามกฎ แถมยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ exchange ไทยไม่สามารถมีได้ เช่น Future ก็จะไม่เป็นการผลักไสให้นักลงทุนโดนบีบจนต้องไปแสวงหากระดานเทรดของต่างประเทศ จนไม่สามารถควบคุมได้ และเกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งธุรกิจที่เป็นของคนไทย และ ธุรกิจข้ามชาติ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts