“…ต่อกรณีที่ ป.ป.ช. เข้าไปตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของเอกชนสัญชาติอังกฤษ นำมาเปิดเผยข้ามประเทศ อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ และ กฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 38 ระบุว่า การจะตรวจสอบธุรกรรมชาวต่างชาติ ต้องขออนุญาต แต่เมื่อไม่ขออนุญาตตามมาตรา 38 จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ใช้อำนาจมิชอบ โดยเฉพาะการเข้าไปตรวจสอบบุคคลสัญชาติอังกฤษที่ยังไม่ถูกร้องเรียนคดีอะไร ซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็นนักธุรกิจที่ทำธุรกิจให้คำปรึกษาการลงทุนระหว่างประเทศ เมื่อข่าวการถูกตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินถูกตีแผ่ออกไป ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่ง พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคของประเทศอังกฤษเขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามนำข้อมูลส่วนบุคคลไปเปิดเผยข้ามประเทศ เพื่อคุ้มครองและปกป้องผลประโยชน์คนอังกฤษที่เข้าไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ไม่ให้ถูกกลั่นแกล้งโดยมิชอบ ขณะที่กฎหมาย ป.ป.ช.ระบุว่า ในการไต่สวนหรือไต่สวนเบื้องต้น จะต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย…”
ป.ป.ช. จ่อสะดุดขาตัวเองคดีกล่าวหา “ประหยัด พวงจำปา” ร่ำรวยผิดปกติ เจอฟ้องกลับคำสั่งลงโทษไล่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ ขณะที่การตรวจสอบธุรกรรมการเงินของผู้ถูกกล่าวหา ไม่พบความผิดปกติ แต่ ป.ป.ช.กลับไม่นำเอกสารดังกล่าวเข้าสำนวนฯ แถมการเข้าไปตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของเอกชนสัญชาติอังกฤษ นำมาเปิดเผยข้ามประเทศ เข้าข่ายผิดกฎหมาย ป.ป.ช.
จากคำสั่งของประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2565 ลงโทษไล่ นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการ ป.ป.ช.ออกจากราชการ ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ โดยตรวจสอบธุรกรรมการเงินของ นายประหยัด พวงจำปา , คู่สมรส , บุคคลเอกชนสัญชาติอังกฤษ และบริษัทต่างชาติ แม้มติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ลงมติชี้มูลนั้นมีคะแนนเสียงเท่ากัน (4 ต่อ 4 เสียง) แต่ปรากฏว่ามีการชี้มูลไปในทางที่เป็นผลร้ายแก่ นายประหยัด พวงจำปา
ต่อมาวันที่ 15 พ.ย. 2565 ที่ศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ นายอาทร ดำคง ทนายความผู้รับมอบอำนาจ นายประหยัด พวงจำปา อดีตรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 ขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของประธาน ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 26 ส.ค.65 ที่มีคำสั่งลงโทษไล่นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ออกจากราชการ
โดย นายอาทร กล่าวว่า ตามมติการชี้มูลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติว่า นายประหยัด ร่ำรวยผิดปกติ และมีคำสั่งลงโทษไล่ออก เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ เช่น
1.ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของคณะกรรมการไต่สวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.แต่งตั้งขึ้น ไม่ปรากฏว่า นายประหยัด มีการกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ อันจะเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด โดยทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลว่าร่ำรวยผิดปกติเป็นทรัพย์สินของคู่สมรส ซึ่งสามารถแสดงหรือพิสูจน์ถึงการได้มาซึ่งทรัพย์สินได้อย่างครบถ้วน โดยรายการทรัพย์สินต่างๆ มีทั้งในส่วนที่ถือครองแทนบุคคลอื่น เพื่อช่วยเหลือในทางธุรกิจ หรือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการประกอบธุรกิจในครอบครัวกงสี และเป็นทรัพย์สินที่ได้มาก่อนที่ นายประหยัด จะเข้ารับ ตำแหน่งรองเลขาธิการ ป.ป.ช.
2. นายประหยัดไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และตำแหน่งรองเลขาธิการฯ ที่ได้รับการแต่งตั้ง ก็ไม่สามารถเอื้อประโยชน์ที่จะใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต หรือ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินที่มีการชี้มูลแต่อย่างใด
3. กรรมการ ป.ป.ช.บางราย มีส่วนได้เสียในเรื่องที่กล่าวหา มีอคติ มีความไม่เป็นกลาง และแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อกลั่นแกล้ง
4. มติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ลงมติชี้มูล มีคะแนนเสียงเท่ากัน 4 ต่อ 4 เสียง แต่ปรากฏว่ามีการชี้มูลไปในทางที่เป็นผลร้ายแก่ นายประหยัด โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
“การยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลางในครั้งนี้ เพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีของข้าราชการมิให้ถูกกลั่นแกล้ง และต้องการสร้างบรรทัดฐานในการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งหากติดตามข่าวสารจะพบว่า มีหลายคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติไม่ชี้มูลความผิด โดยยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชน หลายคดีที่เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูล แต่เมื่อมีการฟ้องร้องต่อศาล ปรากฏว่า ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง” นายอาทร กล่าว
นายอาทร ยังกล่าวถึงกรณีการตรวจสอบธุรกรรมการเงินของ นายประหยัด พวงจำปา , คู่สมรส , บุคคลเอกชนสัญชาติอังกฤษ และบริษัทต่างชาติ ซึ่งไม่พบธุรกรรมการเงินที่ผิดปกติ แต่กลับไม่นำเอกสารดังกล่าวซึ่งเป็นประโยชน์ในทางไต่สวนกับ นายประหยัด พวงจำปา ในคดีปกปิดทรัพย์สินเข้าสำนวนฯ ซึ่งได้ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้ไปปีกว่า แต่ ป.ป.ช. กลับไม่ดำเนินการอะไร ซึ่งเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา นายอาทร ก็ได้เดินทางไปยื่นเรื่องนี้อีกครั้งที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ นนทบุรี โดยยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. , กรรมการ ป.ป.ช. และเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อติดตาม เร่งรัดการดำเนินการตรวจสอบเรื่องร้องเรียน น.ส.สุภา ปิยะจิตติ และ น.ส.อพาลินทุ์ ลิ้มธเนศกุล กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามหนังสือที่ นายประหยัด พวงจำปา ผู้กล่าวหาร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ และ น.ส.อพาลินทุ์ ลิ้มธเนศกุล ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งนับรวมระยะเวลาจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 1 ปีเศษแล้ว แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลทั้งสอง ทั้งที่มีเอกสารหลักฐานการกระทำความผิดที่ชัดแจ้ง โดยเอกสารดังกล่าวเป็นกรณีการตรวจสอบธุรกรรมการเงินของ นายประหยัด พวงจำปา , คู่สมรส , บุคคลเอกชนสัญชาติอังกฤษ และบริษัทต่างชาติ ซึ่งไม่พบธุรกรรมการเงินที่ผิดปกติ แต่กลับไม่นำเอกสารดังกล่าวซึ่งเป็นประโยชน์ในทางไต่สวนกับ นายประหยัด พวงจำปา ในคดีปกปิดทรัพย์สินเข้าสำนวนฯ
ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบข้อมูลของ “สืบจากข่าว” ต่อกรณีที่ ป.ป.ช. เข้าไปตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของเอกชนสัญชาติอังกฤษ นำมาเปิดเผยข้ามประเทศ อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ และ กฎหมาย ป.ป.ช. โดยในกฎหมายรัฐธรรมนูญเขียนอยู่ในสิทธิของประชาชนอยู่แล้วว่า การกระทำอื่นใดจะละเมิดสิทธิมิได้ ซึ่งในมุมมองของเอกชนชาวสัญชาติอังกฤษ เมื่อมาอยู่ในประเทศไทยก็ต้องได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายไทย ขณะที่กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 38 ระบุว่า การจะตรวจสอบธุรกรรมชาวต่างชาติ ต้องขออนุญาต แต่เมื่อไม่ขออนุญาตตามมาตรา 38 จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ใช้อำนาจมิชอบ โดยเฉพาะการเข้าไปตรวจสอบบุคคลสัญชาติอังกฤษที่ยังไม่ถูกร้องเรียนคดีอะไร ซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็นนักธุรกิจที่ทำธุรกิจให้คำปรึกษาการลงทุนระหว่างประเทศ เมื่อข่าวการถูกตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินถูกตีแผ่ออกไป ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่ง พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคของประเทศอังกฤษเขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามนำข้อมูลส่วนบุคคลไปเปิดเผยข้ามประเทศ เพื่อคุ้มครองและปกป้องผลประโยชน์คนอังกฤษที่เข้าไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ไม่ให้ถูกกลั่นแกล้งโดยมิชอบ
โดยกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 38 ระบุว่า “ในกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตรวจสอบหรือไต่สวนเพื่อมีความเห็นหรือวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำของบุคคใด มีความจำเป็นต้องได้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินของบุคคลนั้น หรือ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจขอข้อมูลดังกล่าวจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้ตามที่จำเป็น ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ส่งมอบข้อมูลดังกล่าวให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ถือว่าการส่งมอบดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแล้ว”
ขณะที่กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 67 ระบุว่า “ในการไต่สวนหรือไต่สวนเบื้องต้น จะต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เพื่อประโยชน์ในการไต่สวน คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจนำพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน หรือพยานหลักฐานที่ได้มาจากต่างประเทศอันได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายในคดีใดคดีหนึ่ง มาใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบสำนวนการไต่สวนที่เกี่ยวข้องได้”
สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2565 โดยคำสั่งของ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ลงโทษไล่ นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการ ป.ป.ช.ออกจากราชการ โดยมติการชี้มูลของคณะกรรมการ ป.ป.ช มีมติว่า นายประหยัด พวงจำปา ร่ำรวยผิดปกติ แม้จะมีคะแนนเสียงเท่ากัน (4 ต่อ 4 เสียง) แต่ปรากฏว่ามีการชี้มูลไปในทางที่เป็นผลร้ายแก่ นายประหยัด พวงจำปา ทำให้นายประหยัดยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยระบุในคำฟ้องว่ากรรมการ ป.ป.ช. บางรายมีอคติ มีความไม่เป็นกลาง และมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ลงมติชี้มูลนั้น ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
#สืบจากข่าว : รายงาน